บทความ บทวิเคราะห์

 เช็ค 3 แนวรบ ทัพ 1 ทัพ 2 ทัพเรือ ทหารไทยยึด ทะลุเป้า ก่อน สมช.-ผบ.เหล่าทัพ มีมติหยุดยิง “บิ๊กเล็ก” หนังหน้าไฟ

แชร์ข่าว

ผู้การวิศรุฒน์

การสู้รบระลอก 2 ตั้งแต่ 8 ธ.ค. จนถึงวันลงนามหยุดยิง 27 ธ.ค. 2568 ในเวลา 12.00 น. ที่ภาพรวม ถือว่า กองทัพไทย บรรลุเป้าหมาย 2 ประการแล้ว 

คือ 1. ทำให้กองทัพกัมพูชาสิ้นสภาพทางการทหาร และสิ้นสภาพการเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศไทย แม้จะไม่ได้ทำให้ประเทศกัมพูชาและกองทัพกัมพูชาราบคาบ 

แต่การโจมตีเชิงลึกของเครื่องบินรบกองทัพอากาศสู่พื้นที่ชั้นในของกัมพูชาต่อที่หมายทางทหารทั้งกองบัญชาการทหารและคลังอาวุธ  รวมถึงความเสียหายที่ชายแดน  ก็ทำให้กัมพูชาจะต้องรื้อฟื้นความเข้มแข็งของกองทัพขึ้นมาอีกอย่างน้อยหลายปี 

หนทางหนึ่งคือกัมพูชาหลาบจำจะไม่กล้าท้าทายทหารไทยอีก 

หรืออีกหนทางหนึ่งคือกัมพูชาเร่งในการฟื้นฟูกองทัพและจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยโดยเฉพาะการต่อสู้กับเครื่องบินรบของไทยในอนาคตอันใกล้พร้อมเพิ่มจำนวนกำลังทหารของกองทัพบกกัมพูชา พร้อมๆกับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกองทัพเรือกัมพูชา 

โดยมีโอกาสที่กัมพูชาจะเลือกแนวทางหลังคือรอการล้างตาในอนาคต  จากความพ่ายแพ้สูญเสียในครั้งนี้ 

เพราะแม้จะไม่มีการลงนามในข้อตกลงหยุดยิงฝ่ายกัมพูชาก็สามารถเพิ่มเติมกำลังอาวุธยุทโธปกรณ์กระสุนหรือจัดซื้อจัดหาอาวุธใหม่ได้ตลอดเวลา และสามารถนำส่งได้เพราะมีเที่ยวบินบินตามปกติ การหยุดยิงจึงไม่ใช่การเปิดช่องให้กัมพูชาได้เติมของ แต่ฝ่ายเดียว เพราะไทยเราก็ได้เติมของเสริมความแข็งแกร่ง และได้พักพร้อมที่จะลุยหากต้องมีการสู้รบอีกรอบหนึ่ง 

2.กองทัพไทยสามารถยึดคืนดินแดนที่เป็นอธิปไตยไทยแต่ถูกกัมพูชายึดครองมายาวนานรวมทั้งป้องกันรักษาพื้นที่ที่ฝ่ายไทยได้ยึดครองอยู่มายาวนานและแผ่นดินไทยได้สำเร็จในหลายพื้นที่ 

“จากรายงานผลการปฏิบัติทางทหารกองทัพสามารถควบคุม ภูมิประเทศสำคัญ ที่มีผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน ตามที่กำหนดไว้ได้แล้ว”  บิ๊กเล็ก  พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวในการแถลงข่าวหลังการลงนามหยุดยิง กับกัมพูชา เมื่อ 27 ธันวาคม 2568 ที่จันทบุรี 

ก่อนหน้านั้น  พล.อ.ณัฐพล ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนลงนามหยุดยิง ว่า  กองทัพไทย สามารถยึดคืนอธิปไตยไทย ตามแผนที่กำหนด 99% แล้ว ส่วนพื้นที่ที่ยังไม่ได้ยึดคืนนั้น เพราะต้องคำนึงถึง การควบคุมพื้นที่นับจากนี้ด้วย เนื่องจากต้องใช้กำลังทหารจำนวนมาก  เพราะแม้การยึดคืนพื้นที่จะยาก  แต่การครองพื้นที่ยากยิ่งกว่า 

ทั้งนี้ พล.อ.ณัฐพล  ได้รับมอบหมายจากที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน 22 ธันวาคม 2568 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย  ให้ไทยและกัมพูชา เจรจากันผ่านกลไกทวิภาคี คือ  คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) จึงทำให้พลเอกณัฐพล. ต้องรับหน้าที่นี้. และถูกโจมตีอย่างหนัก  จากฝ่ายที่ยังไม่ต้องการหยุดยิง 

แต่หากพิจารณา ที่เป้าหมายของ กองทัพไทยที่วางแผนในการยึดคืนอธิปไตยไทยในการสู้รบครั้งนี้ ตั้งแต่ 8-27 ธ.ค.2568  นั้นแม้พื้นที่บางจุด จะยังไม่ได้คืนทั้งหมด เพราะเสี่ยงต่อการสูญเสียกำลังพล  เพราะชัยภูมิ ที่เสียเปรียบ ก็ตาม 

แต่ ในภาพรวม พื้นที่เป้าหมาย ที่กองทัพกำหนดร่วมกัน ในการเอาคืนนั้น ได้มา 99%  อีกทั้งในบางจุดได้มากกว่าที่วางแผนไว้ ทั้งพื้นที่ ทัพภาค 1  กองกำลังบูรพา  ยึดได้ 3 เป้าหมาย จาก ที่วางไว้ 2 เป้าหมาย    

กองทัพเรือ กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด  ยึดได้ 4 เป้าหมาย จาก เดิมที่วางเป้าเอาไว้ 2 เป้าหมาย 

ส่วน ทัพภาค 2   กองกำลังสุรนารียึดพื้นที่ได้เป็นจำนวน   เช่น ยุทธบริเวณช่องอานม้า  พื้นที่รอบปราสาทตาควาย เนิน 350  จนถึงเนิน 225  

และ พื้นที่แนวรบหน้าเขาพระวิหาร แนวรบภูมะเขือ อีกหลายพื้นที่ หลายช่อง หลายจุด รวมมากกว่า 18 เป้าหมายหลัก 

โดยจะต้องพิจารณา ความสามารถจัดวางกำลังทหารในการดูแล พื้นที่ ในอนาคต ให้ได้ทั้งหมดอีกด้วย  เพราะในห้วงการสู้รบกำลังทหารก็ไม่เพียงพอ อยู่แล้ว จนต้องขอกำลังใจจากกองทัพภาค1 และกองทัพภาค 3 มาช่วยเสริม 

ส่วนเนิน745 ช่องบก ที่ยังไม่สามารถยึดคืนได้นั้น  เป็นเพราะเป็นเนิน ที่มีความสูงมาก  ทหารไทย กำลังตัดถนนเข้าไป แต่ยังไม่เสร็จ  ก็เกิดสถานการณ์ ที่ทำให้ต้องมีการสู้รบ  รอบ 2  เมื่อ 8 ธ.ค. ขึ้นมาก่อน  หากเข้าโจมตีก็อาจจะสูญเสียเพิ่มเติมเหมือนที่เข้าโจมตียึดเนิน 677 และเนิน 500 ที่ช่องอ่านม้า  และเนิน 350 ที่ปราสาทตาควาย 

อีกทั้ง กองทัพ ทุ่มเทกำลัง ไปใน 13 แนวรบหลัก ที่หมายสำคัญ ก่อน ซึ่งยังไม่ได้เปิดแนวรบด้านช่องบก แบบเต็มที่ 

อีกทั้งในห้วงที่ผ่านมา มี ปัจจัยกดดันจากต่างประเทศ และสังคมโลก  ที่ทำให้กองทัพ มีเวลาจน สามารถเอาคืนแผ่นดินไทย ได้จนถึงระดับที่น่าพอใจ แล้ว  โดยจะเห็นได้ว่ากองทัพไทยใช้เหตุผลเรื่องการปราบสแกมเมอร์ ด้วยจึงทำให้ได้เวลาในการรบต่อ โดยมีเป้าหมายสำคัญที่คาสิโนต่างๆที่ทหารกัมพูชาใช้เป็นที่บัญชาการรบที่หลบซ่อนและกองบัญชาการโดรน  จึงเป็นการทำลายเป้าหมายแบบ 2 in 1 คือสามารถทำลายฐานที่มั่นของขบวนการสแกมเมอร์และคอลเซ็นเตอร์ได้ด้วย 

อีกทั้งก่อนการตัดสินใจเจรจาหยุดยิง  ได้มีการหารือทั้งในระดับนายกรัฐมนตรี  รมว. กลาโหม รมว. ต่างประเทศ และคณะผู้บัญชาการทางทหาร  และผู้บัญชาการเหล่าทัพ โดยมีความเห็นพ้องป้องกันว่าถึงเวลาที่จะต้องหยุดยิง  

เพราะบรรลุทั้งสองเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้ว แม้จะไม่ 100%  แต่การหยุดยิงในเวลานี้เวลาที่กองทัพไทยกำลังได้เปรียบ ย่อมดีกว่าการสู้ต่อไปแล้วเกิด เพลี้ยงพล้ำ 

อีกทั้งทหารไทยสูญเสียในการรบรอบ 2 นี้เกือบ 30 นายบาดเจ็บอีกมากกว่า 500 นาย  หรือแม้แต่ในเวลาก่อนที่จะหยุดยิงทหารไทยก็เสียชีวิตและบาดเจ็บอีกหลายคนจากจรวดหลายลำกล้อง BM21 ของกัมพูชา 

ขณะเดียวกันอาวุธยุทโธปกรณ์ของฝ่ายไทยก็เสียหายและเสื่อมสภาพในระหว่างการสู้รบเป็นจำนวนมากรวมถึงปริมาณกระสุนที่ร่อยหรอลง  แม้จะสามารถลบต่อได้อีกเป็นสัปดาห์ก็ตาม 

นอกจากนั้นยังเป็นเรื่องความเหนื่อยล้าอ่อนล้าของกำลังพลที่รบ อยู่หน้าแนว  แม้ว่าหัวใจจะเกิน 100 พร้อมที่จะสู้พร้อมที่จะตายหรือบาดเจ็บพิการ  แต่ระดับผู้บังคับบัญชาก็จะต้องพยายาม ลดความสูญเสีย 

นอกจากนั้นความเคลื่อนไหวของมหาอำนาจโดยเฉพาะจีนในระยะหลังเริ่มเข้มข้นขึ้น  ในการพยายามเข้าเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชา  แต่ฝ่ายไทยตั้งเงื่อนไขว่าต้องเป็นทวิภาคีคือไทยกับกัมพูชาหารือกันตกลงกันเท่านั้น 

โดยการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่มาเลเซียก่อนหน้านั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามจากมหาอำนาจที่จะล็อบบี้อาเซียนซึ่งมีนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเป็นประธานเพื่อให้ไทยและกัมพูชาบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกัน 

ตามมาด้วยการที่กระทรวงการต่างประเทศจีนเชิญรัฐมนตรีต่างประเทศไทยและกัมพูชามาพบปะหารือแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างกันในวันที่ 29 ธันวาคมหลังจากที่ไทยและกัมพูชาลงนามหยุดยิงเมื่อ 27 ธันวาคม 2568 และเป็นห้วงของการเฝ้าระวัง 72 ชั่วโมง 

ตามข้อตกลงร่วมหรือถ้อยแถลงร่วมJoint Statement ที่รมว.กลาโหมไทยและกัมพูชา ลงนามร่วมกันทั้ง 16 ข้อนั้นตกลงกันว่ากำลังทหารอยู่ตรงไหนให้อยู่จุดนั้นไม่มีการขยับล้ำเข้าไปในอีกฝ่ายหนึ่ง  นั่นหมายถึงทหารไทยต้องยึดครองพื้นที่ที่ยึดเพิ่มมาได้อีกเป็นจำนวนมาก 

ปัญหาที่ตามมาคือกำลังทหารที่ไม่เพียงพอเพราะแค่ในส่วนของกองทัพภาค2  ก็ไม่เพียงพออยู่แล้วเพราะในช่วงการรบก็ต้องขอกำลังใจจากกองทัพภาค1 และกองทัพภาค3 มาเสริม  ดังนั้นหากต้องมีการวางกำลังเพื่อคุมพื้นที่ที่ยึดเพิ่มมาได้คงไม่สามารถใช้กำลังจากนอกพื้นที่เช่นกองกองทัพภาค1 หรือกองทัพภาค 3 ได้  

และหากใช้กำลังของกองทัพภาค2 กองทัพภาคเดียวกำลังทหารที่จะไปประจำการในพื้นที่ที่ยึดได้ใหม่ก็อาจจะมีเป็นจำนวนน้อยและอาจเสี่ยงต่อการถูกซุ่มโจมตีหรือลอบโจมตียึดพื้นที่คืน ของฝ่ายทหารกัมพูชา ที่ถนัดการรบแบบนอกแบบ 

โดยจะเห็นได้ว่าก่อนที่ พลเอกณัฐพล จะไปลงนามข้อตกลงหยุดยิงกับกัมพูชา  นายกรัฐมนตรีได้มีการเรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติร่วมกับคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 8  เมื่อบ่ายวันที่ 26 ธันวาคม 2568  เพื่อพิจารณาและอนุมัติ ถ้อยแถลงร่วมทั้ง 16 ข้อที่ พล.อ.ณัฐพลจะไปลงนาม 

อันเป็นการสะท้อนว่าการหยุดยิงครั้งนี้ได้รับความเห็นชอบทั้งจากนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี รวมถึงฝ่ายผู้บัญชาการเหล่าทัพด้วย  

แต่ไปๆมาๆ คนถูกรุมกระหน่ำโจมตี อย่างรุนแรงกลับกลายเป็น พล.อ.ณัฐพล  ซึ่งได้รับมอบหมายจากครม. ให้เป็นผู้ไปลงนามข้อตกลง  เปรียบเสมือนเป็นหนังหน้าไฟ รับการถูกตำหนิโดนด่า เพียงลำพัง 

เพราะคาดการณ์ว่าพล.อ.ณัฐพล ที่ตอนนี้เป็นรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  ถือว่าเป็นสุดท้ายของชีวิตการทำงานทางการเมืองแล้ว เมื่อหมดรัฐบาลนี้ก็คาดว่าจะไปพักผ่อนและวางมือทางการเมือง  เพราะที่ผ่านมา ที่ต้องเข้ามาในจุดนี้เพราะได้รับการร้องขอจากผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้มาช่วยดูแลกองทัพ 

แต่ในยามที่โดนวิพากษ์วิจารณ์โจมตีและทัวร์ลง ไม่มีใครช่วย พล.อ.ณัฐพลได้  สภาพจิตใจจึงบอบช้ำไม่น้อย กับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย และไม่อาจปฏิเสธได้ 

โดยจะเห็นได้ว่าในห้วงที่ผ่านมาพลเอกณัฐพล ได้แสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเอง  ในการให้สัมภาษณ์วิพากษ์วิจารณ์กัมพูชาและการให้ตอบโต้อย่างรุนแรงมาหลายครั้ง  จนเริ่มมีเสียงชื่นชม 

แต่เมื่อได้รับมอบหมายให้ต้องเป็นผู้ไปเจรจาและลงนามข้อตกลงหยุดยิง  พล.อ.ณัฐพล  ก็กลายเป็นตำบลกระสุนตกที่ถูกโจมตีอย่างหนัก ที่ เสมือนเป็นการส่งท้าย ก่อนที่จะอำลาตำแหน่งทางการเมือง เลยก็ว่าได้ 

เสมือนว่า พล.อ.ณัฐพล  ยอมพลีชีพ  เพื่อชาติ  เพื่อให้เกิดความสงบสุขในเบื้องต้น แม้จะรู้ว่าไม่อาจทำให้เกิดความสงบสุขแบบยั่งยืนระหว่างไทยกับกัมพูชาก็ตาม 

แต่กองทัพก็พร้อมสำหรับการรบรอบใหม่ หากกัมพูชายังไม่ยอมจบ !!

#ศึกชายแดนไทยกัมพูชา
#ทัพไทย
#หยุดยิง
#ความมั่นคง
#อธิปไตยไทย
#กองทัพไทย
#บิ๊กเล็ก