บอย อินชัวร์
นับเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่ค่อยได้ปรากฎให้เราได้เห็นในรอบหลายสิบปีสำหรับบ้านเรา สำหรับการออกมาเคลื่อนไหวอย่างเอาจริงเอาจังต่อการขับเคลื่อนของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.)ในการเดินหน้าพัฒนาและบูรณาการระบบประกันสุขภาพของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะภ่าพที่เราจะได้เห็นหลายต่อหลายหน่วยงานของภาครัฐในบ้านเราที่ร่วมมือร่วมใจกันในการประชุมร่วมของคณะทำงานเพื่อพัฒนาและบูรณาการ ระบบประกันสุขภาพของประเทศไทยจนถึง ณ เวลานี้นับเป็นการประชุมนัดที่สองของสำนักงาน คปภ. ครั้งที่ 2/2568 ที่ก้าวผ่านพ้นไปแล้ว ภายใต้โครงการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ด้านการประกันภัยสุขภาพภาคสมัครใจ ซึ่งมีหัวเรือใหญ่ก็คือนายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการ คปภ. เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยผู้แทนจากกระทรวงสาธารณสุข กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กรมบัญชีกลาง สำนักงานประกันสังคม สมาคมโรงพยาบาลเอกชน สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
โดยบรรยากาศของที่ประชุมได้ร่วมกันรับฟังความก้าวหน้าของโครงการในภาพรวม ทั้งด้านการวิเคราะห์ภูมิทัศน์ระบบสุขภาพของประเทศ และด้านการประกันภัยสุขภาพเอกชนภาคสมัครใจ และร่วมแสดงความคิดเห็นต่อร่างแผนยุทธศาสตร์ด้านการประกันภัยสุขภาพภาคสมัครใจ ซึ่งครอบคลุมทั้งระยะสั้น (1–3 ปี) และระยะยาว (5–10 ปี) โดยมีมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (Thailand Development Research Institute : TDRI) เป็นผู้แทนคณะทำงานนำเสนอข้อมูล แนวคิด และกรอบยุทธศาสตร์ ต่อที่ประชุม โดยแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดทิศทางในการกำกับและส่งเสริมการประกันภัยสุขภาพภาคสมัครใจในแนวทางเดียวกันทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจ ตลอดจนยกระดับระบบประกันภัยสุขภาพให้มีประสิทธิภาพ สามารถตอบสนองต่อ ความต้องการของประชาชนได้อย่างเหมาะสม ต่อเนื่อง และยั่งยืน
ทั้งนี้เลขาธิการ คปภ. ได้ระบุว่า ระบบสุขภาพของประเทศไทยประกอบด้วยหลายกลไกสำคัญที่ทำหน้าที่ควบคู่กันทั้งระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบบประกันสังคม สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และประกันภัยสุขภาพภาคเอกชน แม้ระบบสุขภาพของไทยโดยรวมจะมีความครอบคลุมและมีคุณภาพ แต่ยังมีความจำเป็นต้องผลักดันให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงการคุ้มครองด้านสุขภาพได้อย่างเป็นธรรม โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่สำนักงาน คปภ. ให้ความสำคัญในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ในครั้งนี้ จึงได้บูรณาการความร่วมมือกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ดำเนินโครงการวิจัยเพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์ด้านการประกันภัยสุขภาพภาคสมัครใจของประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดภูมิทัศน์ด้านประกันภัยสุขภาพภาคสมัครใจของประเทศ จัดทำแผนยุทธศาสตร์ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ควบคู่กับการจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) และแผนที่นำทาง (Roadmap) เพื่อบูรณาการระบบประกันภัยสุขภาพภาคสมัครใจให้สอดคล้องกับระบบสวัสดิการภาครัฐและทิศทางยุทธศาสตร์ชาติ
ดังนั้นการประชุมหารือร่วมกันครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของการต่อยอดจากการกำหนดแนวคิดเชิงนโยบายสู่การพิจารณาความก้าวหน้าเชิงรูปธรรม และการร่วมกำหนดทิศทางการดำเนินงานในระยะต่อไป เพื่อให้แผนยุทธศาสตร์ด้านการประกันภัยสุขภาพภาคสมัครใจของประเทศไทยสามารถบูรณาการกับระบบสุขภาพและสวัสดิการภาครัฐได้อย่างเหมาะสม เสริมความเข้มแข็งของระบบสุขภาพไทย และสร้างความสมดุลในการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจประกันภัย และภาคบริการสุขภาพ นำไปสู่การยกระดับการเข้าถึงความคุ้มครองด้านสุขภาพ และการพัฒนาระบบประกันภัยสุขภาพให้มีเสถียรภาพและยั่งยืนในระยะยาวต่อไป
จริงอยู่แม้การออกมาเดินหน้าครั้งนี้แม้จะเป็นนิมิตรหมายที่ดีและเป็นข่าวดีสำหรับการสร้างทางเลือกใหม่ให้คนไทยได้มีโอกาสเข้าถึงและจับต้องได้สำหรับระบบประกันสุขภาพภาคสมัครใจ แต่ทว่ายังมีปัจจัยตัวแปรสำคัญในเรื่องอัตราเบี้ยประกันของผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่มีแนวโน้มราคาค่อนสูงขึ้นตามความผันแปรของเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาลในแต่ละปีในบ้านเราที่มักจะเพิ่มสูงขึ้นด้วย ดังจะสะท้อนให้เห็นจากค่ายาและค่าบริการทางการแพทย์ ซึ่งตราบใดรัฐโดยเฉพาะกรมการค้าภายในไม่สามารถเข้ามาใช้กลไกควบคุมราคาค่ายาให้อยู่หมัดได้ ก็คงจะเป็นเรื่องลมๆแล้งๆที่คนไทยจะมีโอกาสเข้าถึงระบบประกันสุขภาพสมัครใจได้อย่างเป็นรูปธรรม
แม้ในอีกขาหนึ่งภาครัฐเอกชนในธุรกิจประกันจะสร้างเกราะกำบังตัวเองจากมิจฉาชีพไม่ให้เข้ามาทุจริตฉ้อฉลในการเบิกเงินประกันสารพัดหลากหลายรูปแบบแล้วก็ตามที ไม่ว่าการฉ้อฉลการเบิกเงินค่าชดเชยรายวันโดยจัดฉากจากนอนรักษาตัวในรพ.ในฐานะคนไข้ใน หรือแม้แต่การผลักดันล่าสุดขอให้รัฐไฟเขียวผู้เอาประกันสามารถนำใบสั่งซื้อยาที่แพทย์ระบุลงนามไปซื้อยาข้างนอกได้ ซึ่งยังอยู่ขั้นตอนคัดกรองสถานบริการขายยาที่ได้รับการรับรองจากทางการกันอยู่ หรือแม้แต่คปภ จะมีกฎหมายอย่างพรบ.ประกันฉ้อฉลเป็นเครื่องมือกำราบคนจัดฉากฉ้อฉลแล้วก็ตาม แต่สิ่งต่างๆเหล่านี้ก็ยังไม่ใช่เครื่องการันตีได้ว่าจะควบคุมได้
เพราะอย่าลืมว่า ยังปรากฎภาพที่ปรากฎอีกมุมหนึ่ง ที่เรายังเห็นการจัดฉากอมค่าเบี้ยประกัน ฉ้อฉลหรือโกงเงิน จากเงื้อมือตัวแทนที่ขาดจรรยาบรรณเล่นแร่แปรธาตุ และลูกค้าบริษัทประกันภัยออกมาให้ในสารพัดวิธีการไม่จบไม่สิ้น
สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นตัวฉุดรั้งให้ประกันสุขภาพสมัครใจบ้านเราแจ้งเกิดค่อนข้างยากลำบาก เพราะฉันนั้นคงจะเป็นเรื่องท้าทายคปภ.กับทีดีอาร์ไอและอีกหลายหน่วยงานต้องทำการบ้านกันขนานหนัก ถ้าจะแจ้งเกิดหรือขับเคลื่อนระบบประกันสุขภาพภาคสมัครใจสำหรับบ้านเราทีเดียว







