ศึกเลือกตั้งครั้งใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่ไม่ได้แบ่งขั้ว เสรีนิยม VS อนุรักษ์นิยม เหมือนการเลือกตั้งปี 2566 แต่ภูมิทัศน์การเมืองไทยได้วิวัฒนาการเข้าสู่สมรภูมิ "สามก๊ก" ที่ซับซ้อนและแหลมคมที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
ในขณะที่สปอตไลต์ของสื่อและสังคมกำลังจับจ้องไปที่การปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่าง "ค่ายส้ม" พรรคประชาชน อดีตแชมป์เลือกตั้งปี 2566 กับ "ค่ายน้ำเงิน" พรรคภูมิใจไทย ที่กลายเป็นหัวขบวนอนุรักษนิยม มีพรรคการเมืองหนึ่งที่ดูเหมือนจะถอยฉากออกมาอยู่ในจุดที่เงียบเชียบกว่า แต่กลับกุมความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ นั่นคือ "พรรคเพื่อไทย"
พรรคเพื่อไทยในวันนี้ ไม่ได้ตะโกนคำว่า "แลนด์สไลด์" ด้วยความดุดันเหมือนเก่า แต่กำลังเล่นเกมที่ลึกซึ้ง คือยุทธศาสตร์ "ยืนบนภู ดูเสือกัดกัน"
1. ส้ม VS น้ำเงิน คู่กัดในศึกเลือกตั้งปี 2569
เงื่อนไขที่ทำให้เพื่อไทยสามารถ "ลอยตัว" ได้อย่างเหนือชั้น คือความขัดแย้งชนิด "ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ" ระหว่างพรรคประชาชน กับพรรคภูมิใจไทย
ทางฝั่งพรรคประชาชน นำโดย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ได้ประกาศจุดยืนชัดเจนดุจกำแพงเหล็กว่า "จะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคภูมิใจไทย" หากต้องโหวตให้ “อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นนายกฯ
ในขณะที่ อนุทิน ชาญวีรกูล แม่ทัพใหญ่ค่ายน้ำเงิน ก็สวนกลับด้วยหมัดที่รุนแรง โดยประกาศไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาชนเช่นกัน หากไม่ระบุออกมาอย่างชัดเจนว่า จะยุติความพยายามในการแก้กฎหมาย ม.112
เมื่อ "ส้ม" กับ "น้ำเงิน" กลายเป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันได้ในสมการการจัดตั้งรัฐบาล นี่คือ "สุญญากาศ" ที่พรรคเพื่อไทยมองเห็น และกำลังใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่
2. ยุทธศาสตร์ "ความยืดหยุ่น”
พรรคเพื่อไทยเรียนรู้แล้วว่า การเป็นที่ 1 ในสนามเลือกตั้ง อาจไม่ใช่หลักประกันของการได้อำนาจรัฐเสมอไป แต่การเป็น "พรรคที่ทุกคนคุยรู้เรื่อง" ต่างหาก คือกุญแจสู่ทำเนียบรัฐบาลที่แท้จริง ในศึกเลือกตั้ง 2569 พรรคเพื่อไทยวางตำแหน่งตัวเองให้มีความยืดหยุ่นสูงสุด
(1) ถ้าพรรคภูมิใจไทยชนะเลือกตั้ง : อนุทินอยากเป็นนายกฯ แต่จะตั้งรัฐบาลได้อย่างไรถ้าไม่มีเสียงสนับสนุนที่มากพอ ? พรรคประชาชนไม่โหวตให้แน่นอน พรรคประชาธิปัตย์ก็มีเงื่อนไขไม่เอา “กล้าธรรม” พรรคพันธมิตรสำคัญของภูมิใจไทย ท้ายที่สุดภูมิใจไทยก็ต้องง้อเพื่อไทยเพื่อเติมเสียงให้ครบ
(2) ถ้าพรรคประชาชนชนะเลือกตั้ง : แม้จะได้ สส. อันดับ 1 แต่ก็จะติดล็อก เพราะประกาศไปแล้วว่า จะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคภูมิใจไทย และพรรคกล้าธรรม ซึ่งก็เข้าทางเพื่อไทยเต็มๆ ที่จะกลายเป็นตัวแปรที่มีอำนาจต่อรองมหาศาล แม้ไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ก็มีโอกาสได้กระทรวงระดับเกรดเอมากมาย
เมื่อคู่ขัดแย้งหลักอย่าง "พรรคประชาชน" กับ "ภูมิใจไทย" ปิดประตูใส่กัน รวมถึง “ประชาธิปัตย์” ประกาศไม่รวมรัฐบาลกับ “กล้าธรรม” (พรรคพันธมิตรสำคัญของภูมิใจไทย) ก็ยิ่งส่งผลให้ "เพื่อไทย" กลายเป็นตัวแปรที่ทรงพลังที่สุด เพราะไม่ว่าฝ่ายใดชนะเลือกตั้ง ก็จำต้องดึงเพื่อไทยเข้าไปเป็นพวก หากหวังก้าวสู่ทำเนียบรัฐบาล
บทความโดย ศราวุธ เอี่ยมเซี่ยม








