หากสังเกตท่าทีผู้นำของพรรคการเมืองต่างๆ ในเวลานี้ ก็สะท้อนให้เห็นถึงยุทธศาสตร์ในการเลือกตั้งปี 2569 และหลังการเลือกตั้งได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการประกาศอย่างชัดถ้อยชัดคำของ “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคประชาชน ว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับ “พรรคภูมิใจไทย” หรือในกรณีของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ประกาศว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับ “พรรคกล้าธรรม”
ส่วน “พรรคภูมิใจไทย” ก็ยังคงยึดแนวทางยืดหยุ่น ตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งก่อนๆ ที่หวังเพียงได้เข้าร่วมรัฐบาล กับในการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่มีเป้าหมายเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
แต่ที่น่าสนใจก็คือท่าทีของ “พรรคเพื่อไทย” ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่ประกาศใช้กลยุทธ์ยืดหยุ่นตั้งแต่เนิ่นๆ
1. กลยุทธ์ความชัดเจน
การประกาศของ “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคประชาชน จะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคภูมิใจไทย ถือว่าเป็นการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ที่มีต้นทุนสูง แต่ก็จำเป็นที่ต้องเสี่ยง หากต้องการชนะเลือกตั้งครั้งนี้
พรรคประชาชนเรียนรู้จากการเลือกตั้งปี 2566 ว่า สิ่งที่ทำให้พรรคชนะอย่างเหนือความคาดหมาย ไม่ใช่แค่ตัวบุคคลหรือชุดนโยบาย แต่คือ “เส้นแบ่งทางการเมืองที่ชัดเจน” ระหว่างเสรีนิยมกับอนุรักษ์นิยม
แต่จากการตัดสินใจที่ผิดพลาด โหวตให้ “อนุทิน” เป็นนายกฯ ทำให้ศรัทธาของฐานเสียงเดิมสั่นคลอน การกำหนดเส้นแบ่งขึ้นมาใหม่ จึงเป็นความพยายามฟื้นฟูทุนทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของพรรค นั่นก็คือจุดยืนที่ชัดเจน แม้ในครั้งนี้โอกาสประสบความสำเร็จเหมือนในการเลือกตั้งปี 2566 จะน้อยนิดก็ตาม
เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ ที่ประกาศไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคกล้าธรรม เพื่อกู้ภาพลักษณ์พรรคน้ำดี แม้จะรู้อยู่ว่าความชัดเจนเช่นนี้ อาจส่งผลกระทบกับการเข้าร่วมรัฐบาล
กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ความชัดเจน” อาจเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ไม่ได้ผลในการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะแต่ละพรรคก็ต่างมีบาดแผล รวมถึงพรรคประชาชนเอง แต่ที่ต้องยอมผูกมัดตัวเอง ก็เพราะต้องการกู้ศรัทธาผู้สนับสนุนให้กลับคืน
2. กลยุทธ์ความยืดหยุ่น
ส่วนกรณีของพรรคเพื่อไทย การประกาศพร้อมร่วมรัฐบาลกับทุกพรรค ก็เพราะเพื่อไทยในการเลือกตั้งปี 2569 ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เดียวกับการเลือกตั้งปี 2566 อันเนื่องมาจากบาดแผลต่างๆ ของพรรค อาทิ การพลิกขั้วทางการเมือง , ไม่มีผลงานช่วงเป็นรัฐบาล , คลิปเสียงแพทองธาร - ฮุนเซน , ฐานเสียงในเมืองถูกพรรคประชาชนแย่งชิง , เครือข่ายบ้านใหญ่จำนวนมากย้ายไปภูมิใจไทย ฯลฯ ทำให้โอกาสเป็นแชมป์เลือกตั้งปี 2569 เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง
ในสถานการณ์เช่นนี้ พรรคเพื่อไทยจึงเลือกเลิกฝันเรื่องการเป็นพรรคอันดับ 1 และหันมาโฟกัสเป้าหมายที่จับต้องได้ในการเลือกตั้งปี 2569 พรรคไม่ได้ตั้งโจทย์ว่า “จะชนะอย่างไร ?” แต่ตั้งโจทย์ว่า “จะเข้าร่วมวงจรอำนาจได้อย่างไร ?” และคำตอบคือ “กลยุทธ์ความยืดหยุ่น” นั่นเอง
3. ยืดหยุ่นแบบเพื่อไทย กับยืดหยุ่นแบบภูมิใจไทย
พรรคภูมิใจไทย ยืดหยุ่นเพราะประเมินว่า ตนเองมีโอกาสเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ไม่ว่าจะได้อันดับ 1 หรืออันดับ 2 การประกาศร่วมได้กับทุกพรรค คือการขยายพื้นที่ต่อรองให้กว้างที่สุด
พรรคเพื่อไทยยืดหยุ่นเพราะยอมรับความจริงที่ว่า มีโอกาสน้อยมากในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งปี 2569 จึงเลือกโฟกัสเป้าหมายที่เป็นไปได้ นั่นก็คือ การเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
สรุปแนวทางของเพื่อไทยก็คือ พรรคไม่จำเป็นต้องชนะในสนามเลือกตั้ง แต่จำเป็นต้องเป็นตัวแปรที่สำคัญในพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าแกนนำจัดตั้งฯ จะเป็นพรรคภูมิใจไทย หรือพรรคประชาชน ก็ตาม
บทความโดย ศราวุธ เอี่ยมเซี่ยม








