บทความ บทวิเคราะห์

5 ประเด็นเผือกร้อน ท้าทายคปภ.ขับเคลื่อน

แชร์ข่าว

บอย อินชัวร์

ผ่านพ้นไปแล้วและนับว่าเป็นประเด็นใหญ่ที่น่ากังวลใจสำหรับ 5 ประเด็นเผือกร้อนที่เป็นสาระสำคัญที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ. )ได้สรุปผลการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทย ผ่าน 13 ประเด็นสำคัญไปก่อนหน้านี้ ภายใต้แนวคิด “คปภ. ขับเคลื่อนอนาคตประกันภัยไทย สู่ความมั่นคงและยั่งยืน” ในงาน OIC X PRESS ซึ่งสำนักงาน คปภ.จัดกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์ อันดีระหว่างสำนักงาน คปภ. และสื่อมวลชน ซึ่งนับเป็นท้าทายในท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวน อันเนื่องมาจากปัจจัยความไม่แน่นอนของอุบัติภัยธรรมชาติจากแผ่นดินไหวและมหาอุทกภัยน้ำท่วมที่เกิดขึ้นอย่างไม่ใครคาดการณ์ได้ บวกกับภัยความมั่นคงประเทศที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชา

ไม่ว่าประเด็นแรกที่คปภ.ปลุกผีการแก้ไขปรับปรุงประกาศ คปภ. เรื่องการลงทุนประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัยอย่างท้าทายความเสี่ยง พร้อมกับการลดค่าความเสี่ยง (Risk Charge) ในหุ้น ซึ่งคปภ.ได้ระบุอ้างถึงการปรับปรุงหลักเกณฑ์การลงทุนประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัย คครั้งนี้เพื่อให้มีความยืดหยุ่นสอดคล้องกับโครงสร้างธุรกิจและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของแต่ละบริษัท ภายใต้การกำกับดูแลตามหลัก Risk Proportionality เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทประกันภัยสามารถเข้าถึงช่องทางการลงทุนได้ไม่จำกัดประเภทการลงทุนเพิ่มโอกาส สร้างผลตอบแทน กระจายความเสี่ยง และเสริมความมั่นคงให้เงินออมของประชาชนที่อยู่ในรูปแบบกรมธรรม์ประกันภัย

ขณะเดียวกันได้ส่งเสริมบทบาทภาคประกันภัยในฐานะนักลงทุนสถาบัน โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนสำหรับ ความเสี่ยงด้านตลาดจากราคาตราสารทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจากร้อยละ 25 เหลือร้อยละ 18 ซึ่งจะช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการลงทุน เสริมสภาพคล่องตลาดทุน และสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

หรือแม้แต่ประเด็นถัดมาคือ การกำหนดปัจจัยระดับพฤติกรรมการขับขี่ไว้ในพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยรถยนต์ ซึ่งในทางปฏิบัติขณะนี้ยังสร้างความสับสน รวมทั้งติดขัดกม.PDPA ที่มีความยุ่งยากในการระบุการยืนยันตัวตน โดยคปภ.อ้างว่า ได้ยกระดับโครงสร้างการประกันภัยรถยนต์ของไทย โดยนำปัจจัยด้านพฤติกรรมการขับขี่มาใช้กำหนดพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย เพื่อสะท้อนความเสี่ยงที่แท้จริงของผู้ใช้รถและสร้างความเป็นธรรมในระบบประกันภัย หลังจากที่ผ่านมาอัตราเบี้ยประกันภัยรถยนต์ยังอิงข้อมูลภาพรวม เช่น อายุหรือรุ่นรถ ซึ่งไม่สามารถสะท้อนพฤติกรรมการขับขี่รายบุคคลได้อย่างเหมาะสม ส่งผลให้ผู้ขับขี่ที่มีวินัยต้องจ่ายเบี้ยใกล้เคียงกับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง

สำนักงาน คปภ. และภาคธุรกิจประกันภัยจึงได้ร่วมกันกำหนดให้กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์เป็นแบบระบุชื่อผู้ขับขี่ (สูงสุด 5 คน) เพื่อเชื่อมโยงการคำนวณเบี้ยกับพฤติกรรมการขับขี่จริง โดยผู้ขับขี่ที่ไม่มีอุบัติเหตุจากความประมาทจะได้รับการปรับระดับพฤติกรรมและส่วนลดเบี้ยสะสมสูงสุดถึงร้อยละ 40 และจะติดตัวผู้ขับขี่ไปตลอด ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนได้รับเบี้ยประกันภัยที่เป็นธรรมมากขึ้น สร้างแรงจูงใจให้ขับขี่ปลอดภัย ลดอุบัติเหตุและความสูญเสีย พร้อมยกระดับความโปร่งใสและความยั่งยืนของระบบประกันภัยรถยนต์ในระยะยาว

ประเด็นที่ 3 เรื่องการยกระดับการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยแบบรวมกลุ่ม (Group-Wide Supervision) สำนักงาน คปภ. เดินหน้ายกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยของไทย โดยนำแนวทางการกำกับดูแลแบบรวมกลุ่ม (Group-Wide Supervision : GWS) ตามหลักการสากลมาปรับใช้ เพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างธุรกิจประกันภัยในปัจจุบันที่มีการจัดตั้งเป็นกลุ่มธุรกิจและขยายการลงทุนในกิจการที่เกี่ยวเนื่องมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใส เสริมเสถียรภาพ และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมประกันภัยไทยในระยะยาว การกำกับดูแลแบบรวมกลุ่ม (Group-Wide Supervision) แบ่งออกเป็น 2 ระดับ ได้แก่ ระดับ Solo Consolidation กำกับดูแลบริษัทประกันภัยและบริษัทลูกที่มีอำนาจควบคุมในหลักการเดียวกับการกำกับบริษัทประกันภัย ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว และระดับ Full Consolidation กำกับดูแลในระดับบริษัทแม่สูงสุดของบริษัทและนิติบุคคลที่บริษัทมีอำนาจควบคุมหรือถือหุ้นโดยตรงหรือโดยอ้อม ตั้งแต่ร้อยละ 20 ขึ้นไป หรือบริษัทร่วม หรือบริษัทลูก ซึ่งคาดว่าจะออกหลักเกณฑ์ได้ภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2569

ส่วนอีกประเด็นที่ไม่ใช่เรื่องทำกันได้ง่ายๆ เพราะที่ผ่านๆมาบริษัทฯประกันส่วนใหญ่ยังต่างระแวงและกังวลกันถึงการรั่วไหลของการฉกข้อมูลลูกค้านำไปแสวงหาประโยชน์กัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องท้าทายสำหรับแนวคิดคปภ.ในการจุดพลุเรื่องที่จะมีการพัฒนาการให้บริการแลกเปลี่ยนข้อมูลสำหรับภาคการเงิน (Open Data / Open Insurance) โดยสำนักงาน คปภ. เดินหน้าพัฒนาแนวคิด Open Insurance เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมประกันภัยไทยสู่ยุคดิจิทัล โดยใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเป็นกลไกสำคัญในการลดต้นทุน เพิ่มความแม่นยำในการให้บริการ และสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน ภายใต้กรอบการเปิดใช้ข้อมูลอย่างเป็นระบบ มีมาตรฐานความปลอดภัย และยึดหลักความยินยอมของเจ้าของข้อมูลเป็นสำคัญ

ทั้งนี้คปภ.มองว่าจะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลภาคธุรกิจประกันภัย และผู้ให้บริการเทคโนโลยี พร้อมยกระดับการกำกับดูแลเชิงป้องกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะเริ่มทดสอบระบบในไตรมาสแรกของปี 2569 ทั้งนี้ Open Insurance ยังได้รับการออกแบบให้เชื่อมโยงกับแนวคิด Open Data และ Open Banking ของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลทางการเงินและการประกันภัยของประเทศ เพิ่มความโปร่งใส ลดความเสี่ยงเชิงระบบและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมประกันภัยไทยในระยะยาว

อีกประเด็นที่นับเป็นของใหม่ๆในวงการประกันและท้าทายในทางปฏิบัติ ซึ่งคงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของกรมสรรพากร และก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่บ่อยครั้งจะได้รับไฟเขียว เพราะหมายถึงเม็ดเงินจากรายได้จัดเก็บภาษีเหือดหายไป นั่นก็คือมาตรการทางภาษีเพื่อสังคมสูงวัย สร้างความมั่นคงทางการเงินและสุขภาพ สำนักงาน คปภ. อ้างว่าเนื่องจากเห็นความสำคัญของการประกันชีวิตแบบบำนาญเพื่อเป็นทางเลือกหลักในการสร้างหลักประกันรายได้ยามเกษียณสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม

รวมถึงการพัฒนารูปแบบบำนาญให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยให้สามารถจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญในรูปแบบเป็นเงินก้อนจำนวนหนึ่ง เมื่อเริ่มรับเงินบำนาญครั้งแรก (Lump-Sum) จากเดิมที่จ่ายเป็นจำนวนที่เท่ากันและเพิ่มขึ้นแบบขั้นบันไดเท่านั้น เพื่อให้ผู้เอาประกันภัย ณ วันที่เริ่มเกษียณอายุสามารถรับผลประโยชน์เป็นเงินก้อน เพื่อนำไปใช้ในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยเกษียณ ซึ่งรูปแบบดังกล่าว จะช่วยตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนที่หลากหลายและยังคงได้รับสิทธิการยกเว้นภาษี

ก็คงต้องติดตามกันดูต่อไปในปีหน้าฟ้าใหม่สำหรับปี 2569 ว่า ทั้ง 5 ประเด็นเผือกร้อนนี้จะถูกคปภ.ขับเคลื่อนได้บรรลุเป้าหมายดังที่คปภ.วาดฝันกันหรือไม่ อะไรจะเป็นขวากหนามปัญหาอุปสรรคไม่ถึงฝั่งฝันกันแน่