บทความ บทวิเคราะห์

เจาะลึกยุทธศาสตร์เลือกตั้งปี 2569 ของ 3 พรรคการเมืองใหญ่

แชร์ข่าว

การเลือกตั้งปี 2569 ที่กำลังจะมาถึง ไม่ใช่เพียงการกาบัตรตามวาระ แต่มันคือ "สงครามล้างไพ่" บนกระดานการเมืองไทยที่บิดเบี้ยวและซับซ้อนที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ 

หากถอดรหัสจากสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งวิกฤตศรัทธา การเปลี่ยนขั้วทางการเมือง และดีลพิสดารต่างๆ จะพบว่ายุทธศาสตร์ของ 3 พรรคใหญ่ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วย "อุดมการณ์" เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ขับเคลื่อนด้วย "สัญชาตญาณความอยู่รอด" 

นี่คือการชำแหละยุทธศาสตร์ของ 3 พรรคการเมืองใหญ่ ที่ต่างมีเดิมพันสูงลิบลิ่ว 

1. ยุทธศาสตร์พรรคประชาชน ต้องชนะเลือกตั้งเท่านั้น 

พรรคประชาชนกำลังตกอยู่ในสภาวะกับดักของความสำเร็จในอดีต การตัดสินใจโหวตให้ "อนุทิน" เป็นนายกฯ คือความผิดพลาดเชิงยุทธศาสตร์ที่กลายเป็น "ตราบาป" กัดกินศรัทธาของฐานเสียงดั้งเดิมอย่างรุนแรง 

กลยุทธ์เลือกตั้ง ปี 69 : "ล้างมลทินด้วยการพยายามแบ่งขั้ว" 

การประกาศของ "ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ" หัวหน้าพรรคประชาชน ว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับ “ภูมิใจไทย” เด็ดขาดหลังการเลือกตั้งปี 2569 ไม่ใช่แค่การหาเสียง แต่มันคือการ "Reset Brand Positioning" พรรคประชาชนรู้ดีว่า ตนเองไม่มี "กระสุน" (เงิน) และแทบไม่มี "บ้านใหญ่" สิ่งเดียวที่เป็นจุดขายคือ "ศรัทธาของประชาชน" 

การเดินเกม : พยายามผลักให้พรรคภูมิใจไทยไปยืนในจุดที่เป็น "ตัวแทนสิ่งชั่วร้าย" เพื่อปลุกกระแส "ความชอบธรรม vs ทุนนิยมสามานย์" ขึ้นมาอีกครั้ง 

จุดตาย : นี่คือยุทธศาสตร์ "ได้หมด หรือเสียหมด" หากไม่ได้ สส. ในระดับแลนด์สไลด์ พรรคประชาชนจะกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านที่โดดเดี่ยวที่สุดในสภา เพราะได้เผาสะพานเชื่อมมิตรทิ้งไป และด้วยธรรมชาติของพรรคกระแส หากเคยทำให้มวลชนเสื่อมศรัทธา ตั้งข้อสงสัยในจุดยืน โอกาสที่จะกลับมาได้คะแนนนิยมเท่าที่ผ่านมา ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย 

2. ยุทธศาสตร์พรรคภูมิใจไทย : ไม่จำเป็นต้องเป็นที่ 1 แต่ไม่ต่ำกว่าที่ 2 เพื่อเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล 

การได้เป็นแกนนำรัฐบาลแม้เพียง 2 เดือน แต่ก็เป็นโอกาสทองในการ "จัดระเบียบโครงสร้างอำนาจ" เพื่อใช้เป็นแต้มต่อช่วงชิงความได้เปรียบในเลือกตั้งปี 2569 ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง 

กลยุทธ์เลือกตั้งปี 69 : "ชาตินิยมกลบแผลบริหาร" 

ภูมิใจไทยรู้ดีว่าผลงานการบริหารในช่วงเป็นแกนนำรัฐบาล (น้ำท่วม, ทุนเทา) เป็นจุดอ่อน แต่พวกเขามีเกราะกำบังชั้นดีคือ "กรณีพิพาทไทย-กัมพูชา" 

การเดินเกม : ใช้กระแสชาตินิยมดึงดูดฐานเสียงอนุรักษ์นิยม ให้เทใจให้ "อนุทิน" ในฐานะผู้นำที่ปกป้องอธิปไตย ขณะเดียวกันเปิดปฏิบัติการดูด “บ้านใหญ่" จากหลายพรรค ก็จะทำให้ภูมิใจไทยกลายเป็นพรรคที่อาจมี สส. เขต แข็งแกร่งที่สุด 

จุดตาย : แม้จะมีบ้านใหญ่จำนวนมาก แต่กระแสในเมืองและคนรุ่นใหม่ยังเป็นกำแพงที่เจาะไม่เข้า หากกระแส "เกลียดทุนเทา" ถูกจุดติดจนลามทุ่ง ระบบบ้านใหญ่ก็อาจต้านทานแรงลมพายุแห่งความเปลี่ยนแปลงไม่ไหว 

3. ยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ยอมเป็นพรรคตัวแปร เพื่อเป็นรัฐบาลเท่านั้น 

จากพรรคที่เคยเป็น "แชมป์เลือกตั้งตลอดกาล" วันนี้เพื่อไทยกลายเป็นพรรคที่บอบช้ำที่สุด ทั้งในกรณีคลิปเสียงแพทองธาร - ฮุนเซน และทักษิณ ชินวัตร ผู้นำจิตวิญญาณของพรรคถูกคุมขัง ทำให้โอกาสชนะเลือกตั้งครั้งใหม่ กลายเป็นเรื่องเพ้อฝัน

 กลยุทธ์เลือกตั้งปี 69: พรรคตัวแปรสำคัญ 

เพื่อไทยประเมินแล้วว่า โอกาสถชนะเลือกตั้งเป็นอันดับที่ 1 ไม่ใช่เรื่องง่าย หรือแม้แต่อันดับที่ 2 ก็ยากเต็มที ดังนั้นเป้าหมายจริงคือ การเป็นอันดับที่ 3 หรือพรรคตัวแปรที่ทรงอิทธิพล 

หมากเดิน : รักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้มากที่สุด เพื่อนำจำนวน สส. ในมือ ไปเป็น "อำนาจต่อรอง" หลังเลือกตั้ง ยุทธศาสตร์นี้คือการเล่นบท "Kingmaker จำเป็น" หากภูมิใจไทยต้องการความชอบธรรมในการตั้งรัฐบาล หรือต้องการเสียงเพื่อปิดสวิตช์พรรคประชาชน เพื่อไทยคือตัวเลือกที่สำคัญที่สุด 

จุดตาย : การเป็นพรรคตัวแปร หมายความว่าต้องยอม "กลืนเลือด" ยอมอยู่ใต้อำนาจพรรคภูมิใจไทย ซึ่งทำให้แบรนด์ "เพื่อไทย" ที่เคยยิ่งใหญ่ อาจไม่สามารถกลับมาผงาดได้อีก 

สมการอำนาจในการเลือกตั้งครั้งใหม่ ไม่ได้ชี้ขาดที่พรรคใดเข้าวินเป็นที่ 1 แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการรวบรวมพันธมิตร ทำให้ฝ่ายที่มีความยืดหยุ่นในการจับขั้ว ย่อมกุมความได้เปรียบมากที่สุด… ในการจัดตั้งรัฐบาล

 

บทความโดย ศราวุธ เอี่ยมเซี่ยม