หากเปรียบการเมืองไทยเป็นกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก “พรรคชาติพัฒนา” คือเรือลำหนึ่งที่ล่องผ่านคลื่นลมแห่งความเปลี่ยนแปลงมาอย่างยาวนาน โดยยุครุ่งเรืองของพรรคก็คือช่วงที่ “พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ” (น้าชาติ) อดีตนายกฯ เป็นหัวหน้าพรรค
วันนี้พรรคชาติพัฒนาเดินทางมาถึงหมุดหมายสำคัญอีกครั้ง เมื่อประธานพรรค “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ประกาศ ไม่ส่งผู้สมัคร สส. ในการเลือกตั้งครั้งใหม่ ขอเว้นวรรคทางการเมืองให้กับพรรคชาติพัฒนา
ขณะที่ “เทวัญ ลิปตพัลลภ” หัวหน้าพรรค และน้องชายสุวัจน์ ได้นำลูกพรรคส่วนหนึ่งคอนแลปกับพรรคเพื่อไทย เพื่อลุยศึกเลือกตั้งที่กำลังจะถึงนี้ ซึ่งเป็นโมเดลเดียวกับ ที่ “วราวุธ ศิลปอาชา” นำ สส. ของพรรคชาติไทยพัฒนาเข้าสังกัดภูมิใจไทย นั่นเอง
การตัดสินใจ “เว้นวรรคทางการเมือง” ในสนามเลือกตั้งของสุวัจน์ ไม่ใช่เรื่องของการถอยหนี แต่คือการอ่านลมฟ้าอากาศของนักการเมืองรุ่นเก๋าที่เข้าใจสัจธรรมของยุคสมัย ว่าเมื่อบริบทเปลี่ยน ยุทธวิธีในการทำงานการเมืองก็ต้องเปลี่ยนตาม
1. ปฐมบทแห่งความรุ่งโรจน์
ย้อนไปหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535 “พรรคชาติไทยพัฒนา” เดิมทีมีชื่อว่า “ปวงชนชาวไทย” ก่อนได้รับการรีแบรนด์ใหม่ในชื่อ “ชาติพัฒนา” โดยมี พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นหัวหน้าพรรค และได้ที่นั่ง สส. เป็นกอบเป็นกำในการเลือกตั้งปี 2535 / 2
จุดเด่นของ พล.อ.ชาติชาย ก็คือวิสัยทัศน์ทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเคยพิสูจน์ฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์มาแล้วในช่วงที่เป็นนายกฯ ก่อนเกิดการรัฐประหารในปี 2534 และการชิงจังหวะทางการเมืองในระดับขั้นเทพ พลิกสถานการณ์จากฝ่ายค้าน กลายเป็นพรรคร่วมฯ จนทำให้คำว่า “เสียบเพื่อชาติ” ดังกระหึ่มขึ้นมาในช่วงเวลาหนึ่ง
2. เส้นทางการเมืองของ “ชาติพัฒนา” หลังยุครุ่งเรือง
หลังหมดยุครุ่งเรือง ชาติพัฒนาภายใต้การนำทัพของหัวหน้าพรรคยุคต่อๆ มาก็พยายามดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด โดยในปี 2548 เคยยุบรวมเข้ากับ “พรรคไทยรักไทย” ของทักษิณ ชินวัตร ต่อมาเมื่อไทยรักไทยถูกยุบ กลุ่มชาติพัฒนา กับกลุ่มรวมใจไทย ก็ร่วมกันก่อตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่ในชื่อว่า “พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา”
และได้มีการเปลี่ยนชื่อพรรคอีกหลายครั้ง ได้แก่ “รวมชาติพัฒนา” , “ชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน” , กลับมาใช้ชื่อ “ชาติพัฒนา” อีกครั้ง ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น “ชาติพัฒนากล้า” เมื่อควบรวมกับ “พรรคกล้า” ที่มี “กรณ์ จาติกวณิช” เป็นแม่ทัพใหญ่ แต่จากผลการเลือกตั้งปี 2566 ที่ได้ สส. ต่ำกว่าเป้าอย่างน่าใจหาย กรณ์จึงตัดสินใจลาออก ก่อนสุวัจน์ ประธานพรรค ได้กลับมาใช้ชื่อ “พรรคชาติพัฒนา” ตามเดิม
การเปลี่ยนชื่อพรรคหรือการพยายามรีแบรนด์หลายครั้งในรอบทศวรรษที่ผ่านมา กลับไม่ได้ทำให้ "ความขลัง" ของพรรคฟื้นคืนมาเหมือนเก่า เมื่อบริบทการเมืองไทยเปลี่ยนมาสู่ยุคความขัดแย้งทางความคิด และความชัดเจนทางการเมือง พื้นที่ตรงกลางสำหรับพรรคที่เน้นการประนีประนอมแบบ "No Problem" (คำพูดที่กลายเป็นโลโก้ของน้าชาติ) จึงถูกบีบให้เล็กลงเรื่อยๆ จนนำมาสู่การตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในวันนี้
3. จำศีลทางการเมือง ?
แม้พรรคชาติพัฒนาประกาศเว้นวรรคทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งใหม่ แต่ เทวัญ ลิปตพัลลภ และสมาชิกจำนวนหนึ่งตัดสินใจย้ายสังกัด "พรรคเพื่อไทย" ก็สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวที่น่าสนใจ
ในทางรัฐศาสตร์ ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่ความล้มเหลว แต่คือการบริหารจัดการความเสี่ยง ของกลุ่มการเมืองที่มองเห็นสัญญาณอันตราย 2 ประการ
ประการที่ 1 กับดักพรรคขนาดกลางและเล็ก : พฤติกรรมผู้ลงคะแนนในปัจจุบัน เอื้อต่อพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่มีกระแสระดับประเทศ หรือพรรคที่มีทรัพยากรมหาศาล การฝืนส่งผู้สมัครในนามพรรคขนาดเล็กที่กระแสไม่แรงพอ เท่ากับการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
ประการที่ 2 สมรภูมิโคราชที่เปลี่ยนไป : จังหวัดนครราชสีมาซึ่งเคยเป็นฐานเสียงของชาติพัฒนา วันนี้กลายเป็นพื้นที่การแข่งขันที่เดือดระอุ การจะได้ที่นั่ง ส.ส. จำเป็นต้องอาศัยฐานคะแนนจัดตั้งที่แน่นหนาจากพรรคเพื่อไทย มาผนวกกับคะแนนนิยมส่วนตัวของตระกูลลิปตพัลลภ เพื่อต่อกรกับพรรคภูมิใจไทย และต้านทานกระแสของพรรคประชาชน
กรณีนี้จึงมีความคล้ายคลึงกับ "พรรคชาติไทยพัฒนา" ที่ “วราวุธ ศิลปอาชา” ย้ายไปร่วมกับภูมิใจไทย กล่าวคือ "ตัวพรรค (นิติบุคคล) ยังคงอยู่ แต่ตัวบุคคล (นักเลือกตั้ง) ต้องย้ายค่ายเพื่อความอยู่รอดในสนามการเมือง
ปัจจุบัน "แบรนด์น้าชาติ" ยังคงได้รับการเคารพยกย่องในฐานะตำนาน แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ผู้สืบทอดมรดกจำเป็นต้องเลือกวิธีที่เข้ากับสถานการณ์ ซึ่งก็คือแนวทางที่พรรคชาติพัฒนาเลือกในวันนี้ เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบพาหนะในการเดินทาง ให้สอดคล้องกับคลื่นลมมรสุมของการเมืองยุคใหม่ในปัจจุบัน
บทความโดย ศราวุธ เอี่ยมเซี่ยม







