ภาพรวมสถานการณ์สินค้าเกษตรไทยในช่วงสัปดาห์ที่ 15-19 ธันวาคม 2568 สะท้อนให้เห็นถึงภาวะการเคลื่อนไหวของราคาที่สอดคล้องกับปัจจัยฤดูกาลและแรงกดดันจากตลาดโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มปศุสัตว์อย่าง สุกร ไก่เนื้อ และไข่ไก่ ที่พาเหรดปรับฐานราคาเพิ่มขึ้นขานรับกำลังซื้อในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ แม้ว่าในเชิงโครงสร้างต้นทุน เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร จะยังคงต้องเผชิญกับภาวะขาดทุนสะสมอยู่ที่ประมาณ 300- 800 บาทต่อตัว เนื่องจากราคาหน้าฟาร์มที่ขยับขึ้นมาอยู่ในเกณฑ์ 89- 96% ของต้นทุนการผลิตนั้นยังไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด โดยมีราคาเฉลี่ยปรับขึ้นทุกภูมิภาคประมาณ 2 บาทต่อกิโลกรัม สอดคล้องกับทิศทางของ ราคาไก่เนื้อ ที่ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 41 บาทต่อกิโลกรัม และ ราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์ม ที่ประกาศปรับขึ้นเป็น 3.60 บาทต่อฟอง ตามกลไกตลาดที่อุปสงค์ภายในประเทศพุ่งสูงขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงสัปดาห์ที่ 51 ของปี
ในขณะที่ตลาดสินค้าเกษตรพื้นฐานหรือ กลุ่มพืชไร่ และ วัตถุดิบอาหารสัตว์ กลับมีทิศทางที่ค่อนข้างทรงตัวและได้รับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกประเทศเป็นหลัก ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในประเทศยังคงรักษาระดับราคาไว้ที่ 9.80 บาทต่อกิโลกรัม แม้ตลาดล่วงหน้าชิคาโก (CBOT) จะมีความเคลื่อนไหวเชิงบวกจากความต้องการส่งออก แต่กลับถูกสกัดช่วงขาขึ้นด้วยราคาข้าวสาลีที่ถูกกว่า ซึ่งกลายเป็นสินค้าทดแทนในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ไปโดยปริยาย เช่นเดียวกับสถานการณ์ กากถั่วเหลืองนำเข้า ที่ราคายังนิ่งอยู่ที่ 14.85 บาทต่อกิโลกรัม โดยมีปัจจัยกดดันจากการที่สต็อกถั่วเหลืองโลกในรายงาน USDA เดือนธันวาคมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ประกอบกับการเพาะปลูกในบราซิลที่สมบูรณ์เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ อีกทั้งการร่วงลงของราคาน้ำมันดิบเบรนต์ที่ต่ำกว่า 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ยังส่งผลกระทบทางอ้อมต่อความต้องการใช้ถั่วเหลืองในภาคพลังงานชีวภาพและสร้างความกังวลในกลุ่มเทรดเดอร์ก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาว
ทางด้านสินค้าส่งออกหลักอย่าง ข้าวไทย แม้ราคาในประเทศจะดูเหมือนทรงตัวโดย ข้าวขาว 100% ชั้น 2 ยืนราคาที่ 1,250 บาทต่อกระสอบ แต่ในภาคการส่งออกกลับพบการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคา F.O.B. อย่างมีนัยสำคัญ โดยราคาข้าวขาวส่งออกขยับขึ้นไปแตะระดับ 446 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ปัจจัยหลักไม่ได้มาจากอุปสงค์ที่ล้นทะลัก แต่เกิดจากการแข็งค่าของเงินบาทที่ทำให้ต้นทุนการส่งออกในรูปสกุลเงินดอลลาร์สูงขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้ประกอบการต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเนื่องจากอาจส่งผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้ ขณะที่สถานการณ์ ปลาป่น ทั้งในไทยและตลาดเปรูเริ่มเข้าสู่ภาวะสมดุล โดยปริมาณสต็อกหน้าท่าเรือในจีนเริ่มลดลงสอดคล้องกับแรงซื้อที่ชะลอตัว ทำให้ราคาปลาป่นเกรดต่าง ๆ ในไทยยังคงทรงตัวต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน
ทิศทางและแนวโน้มในสัปดาห์ถัดไป คาดการณ์ว่า ราคาสินค้าเกษตร ส่วนใหญ่จะยังคงอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” จนถึงขยับขึ้นเล็กน้อยในกลุ่มอาหารสด เนื่องจากอานิสงส์ของเทศกาลท่องเที่ยวและเฉลิมฉลองที่จะลากยาวไปจนถึงสิ้นปี อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือความผันผวนของค่าเงินบาทและนโยบายการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะท่าทีของจีนต่อการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์นำเข้าและอาจกลายเป็นต้นทุนแฝงที่ภาคปศุสัตว์ไทยต้องแบกรับในปีหน้า การปรับตัวของเกษตรกรและผู้ประกอบการไทยในสัปดาห์นี้จึงเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับความผันผวนของตลาดโลกควบคู่ไปกับการตักตวงโอกาสจากกำลังซื้อในประเทศที่ฟื้นตัวขึ้นชั่วคราวในช่วงปลายปี








