บทความ บทวิเคราะห์

คะแนนไหล ‘ไม่เลือกใคร’ การเมืองไทยติดหล่มศรัทธา!! “คนใหม่” สะดุด - “คนเก่า” คืนสนาม

แชร์ข่าว

ปลายปี 2568 ไม่ได้เป็นเพียงช่วงเปลี่ยนผ่านของปฏิทิน หากแต่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของศรัทธาทางการเมืองที่กำลังร่วงลงอย่างน่ากังวล ตัวเลขจากนิด้าโพลไตรมาส 4 ไม่ได้ทำหน้าที่บอกว่าใครกำลังชนะ หากแต่กำลังตะโกนใส่การเมืองไทยทั้งกระดานว่า ประชาชนจำนวนมาก “ไม่เชื่อมือใครอีกแล้ว”

เมื่อคะแนนของกลุ่ม “ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้” พุ่งทะลุร้อยละ 40 ในหมวดนายกรัฐมนตรี และคำตอบ “ยังหาพรรคที่เหมาะสมไม่ได้” ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในหมวดพรรคการเมือง สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าไม่ใช่กระแสปกติของการเมือง หากแต่คืออาการ “ถอยหนีทางความรู้สึก” ของประชาชนที่เริ่มอิ่มตัวกับตัวเลือกเดิม ๆ และเบื่อหน่ายกับเกมอำนาจที่ไม่เห็นปลายทาง

คะแนนนิยมของพรรคประชาชนและนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ที่ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ได้สะท้อนความพ่ายแพ้ทางการเมืองโดยตรง แต่สะท้อนว่า ความหวังที่เคยถูกวางไว้สูง กำลังถูกตั้งคำถามอย่างจริงจัง การตัดสินใจเดินเกมประนีประนอมผ่านข้อตกลงทางการเมืองกับพรรคภูมิใจไทย เพื่อเปิดทางให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีเฉพาะกาล ถูกมองในสายตาฐานเสียงจำนวนไม่น้อยว่า เป็นการ “ยอมถอยจากหลักการ” มากกว่าการวางหมากเชิงยุทธศาสตร์

แม้จะมีคำอธิบายว่าเป็นทางออกเฉพาะกิจเพื่อแก้รัฐธรรมนูญและนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ แต่เมื่อผลลัพธ์ยังไม่เกิด วาทกรรมย่อมไม่สามารถทดแทนความคาดหวังที่พังลงได้ และเมื่อภารกิจสำคัญอย่างการแก้รัฐธรรมนูญไม่คืบหน้า บทบาทของพรรคประชาชนในสายตาสาธารณะจึงเริ่มเลือนราง จากพรรคแห่งการเปลี่ยนแปลง กลายเป็นพรรคที่กำลัง “รอจังหวะ” อยู่กลางสมรภูมิอำนาจ

ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ คะแนนนิยมส่วนหนึ่งไม่ได้ไหลไปหาคู่แข่งโดยตรง แต่ไหลออกจากระบบการเลือกทั้งหมด ไปสู่กลุ่ม “ยังไม่เลือกใคร” อย่างชัดเจน นี่คือสัญญาณอันตราย เพราะหมายความว่า ประชาชนไม่ได้กำลังเลือกอีกฝั่งหนึ่ง แต่กำลังปฏิเสธทั้งกระดาน

ในอีกฟากหนึ่ง การพุ่งขึ้นของคะแนนนิยม “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จากระดับแทบไม่มีนัยสำคัญ สู่ตัวเลขสองหลักในเวลาอันสั้น คือภาพสะท้อนของการเมืองในยามวิกฤต เมื่อคนใหม่ยังไม่มั่นคง คนเก่าที่มีประสบการณ์และภาพลักษณ์ความเป็นระบบ กลับถูกดึงกลับมาอยู่ในสายตาของสังคมอีกครั้ง แม้จะไม่มีการเคลื่อนไหวเชิงรุก แต่ชื่อของเขากลับกลายเป็น “ที่พักใจชั่วคราว” ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนหนึ่ง

ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย แม้จะสามารถเกาะกลุ่มคะแนนนิยมในอันดับต้น ๆ ได้ แต่ยังไม่สามารถสร้างแรงดึงดูดเพียงพอที่จะพาประชาชนออกจากภาวะลังเลได้อย่างแท้จริง การเมืองไทยในปลายปีนี้จึงไม่ใช่การแข่งขันเพื่อเป็นที่หนึ่ง หากแต่เป็นการเอาตัวรอดจากการถูกมองว่า “ไม่น่าเชื่อถือพอจะฝากอนาคตไว้”

นิด้าโพลรอบนี้จึงเปรียบเสมือนกระจกสะท้อนว่า การเมืองไทยไม่ได้ขาดนักการเมือง แต่กำลังขาด “ความหวังที่จับต้องได้” และในวันที่ประชาชนเลือกจะไม่เลือกใคร นั่นย่อมหมายถึงคำเตือนแรงที่สุดต่อทุกพรรคว่า หากยังเล่นเกมเดิม ๆ โดยไม่เปลี่ยนวิธีคิด ไม่เปลี่ยนวิธีทำ ศรัทธาที่หายไป อาจไม่ย้อนกลับมาอีกเลย

#นิด้าโพล #คะแนนนิยมการเมือง #ไม่เลือกใคร #วิกฤตศรัทธา #พรรคประชาชน #ณัฐพงษ์เรืองปัญญาวุฒิ #อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ #การเมืองไทย #คอลัมน์การเมือง