สถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาที่ปะทุขึ้นระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 7-8 ธันวาคม 2568 ไม่ได้เป็นการปะทะด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ตามปกติ แต่กำลังกลายเป็นสงครามข่าวสาร (Information Warfare) และการแข่งกับเวลาทางการทูตที่แหลมคมที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย เมื่อเสียงปืนแตกหักดังขึ้นพร้อมกับพาดหัวข่าวสื่อนอกที่สั่นคลอนภาพลักษณ์ไทย ภายใต้เงาทะมึนของมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ
สิ่งหนึ่งที่น่ากังวลในสมรภูมินี้ คือปฏิกิริยาของสื่อตะวันตกยักษ์ใหญ่บางแห่ง ที่ใช้เทคนิคการพาดหัวข่าวเน้นคำว่า "Air Strike" (การโจมตีทางอากาศ) ของไทย ขณะที่เนื้อข่าวก็ไม่ได้ยืนยันมูลเหตุแท้จริงที่ว่าฝ่ายไทยถูกกระทำก่อน ซึ่งเข้าทางยุทธศาสตร์ของกัมพูชา โดยเฉพาะสมเด็จฮุน เซน ที่พยายามโหมกระพือวาทกรรมว่าไทยเป็นผู้รุกราน (Aggressor) เพื่อชิงความได้เปรียบในเวทีโลก
แต่ข้อเท็จจริงจากไทม์ไลน์ยืนยันว่า จุดแตกหักเริ่มจากการปะทะที่ภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ตั้งแต่ช่วงบ่ายวันที่ 7 ธันวาคม ก่อนจะลุกลามถึงจุดวิกฤตเมื่อเวลา 05:00 น. ของวันที่ 8 ธันวาคม ณ "ช่องบก" จ.อุบลราชธานี เมื่อทหารไทยถูกโจมตีด้วยอาวุธหนักจนเสียชีวิต 1 นาย และบาดเจ็บถึง 9 นาย การสูญเสียชีวิตกำลังพลทำให้กองทัพไทยตัดสินใจใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด
ข้อมูลยืนยันระดับปฏิบัติการระบุชัดเจนว่า กองทัพอากาศไทยได้ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 ขึ้นปฏิบัติภารกิจจริง แต่ไม่ได้มีเป้าหมายเป็นพลเรือนตามที่ถูกกล่าวหา หากเป็นการโจมตีทางยุทธศาสตร์เพื่อทำลายฐานที่ตั้งทางทหาร 3 จุดหลัก ได้แก่ 1. ตึกกาสิโนช่องอานม้า (ซึ่งถูกระบุว่าเป็นกองบัญชาการโดรน) 2. ฐานที่มั่นปราสาทคนา และ 3. เสาวิทยุสื่อสารเพื่อตัดระบบสั่งการ
คือการตอบโต้ตามหลักนิยมทางทหาร (Rules of Engagement) ในลักษณะ "Strike to Stop" หรือการยิงเพื่อหยุดยั้งภัยคุกคาม หลังจากฝ่ายตรงข้ามเปิดฉากยิงอาวุธหนักประเภทจรวด BM-21 เข้าใส่ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ การเปิดเผยข้อมูลนี้ของกองทัพและสื่อไทยจึงเป็นการแก้เกมสงครามข่าวสารที่สำคัญ เพื่อชี้ให้โลกเห็นบริบทของคำว่า "ป้องกันตัว" (Self-Defense)
ในขณะที่สงครามทางอากาศดำเนินไป ภาคพื้นดินก็ดุเดือดไม่แพ้กัน กองทัพไทยโดย กองกำลังบูรพา ได้เดินหมากเร่งด่วนเข้าควบคุมพื้นที่ "บ้านหนองหญ้าแก้ว" และพื้นที่ทับซ้อนตามแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ให้ได้เร็วที่สุด
คำถามคือทำไมต้องเร่งรีบ? คำตอบอยู่ที่ปัจจัยภายนอกอย่าง "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้เคยผลักดันข้อตกลงสันติภาพไว้ นักวิเคราะห์ประเมินว่าไทยมี "หน้าต่างแห่งโอกาส" (Window of Opportunity) เพียงไม่กี่ชั่วโมงหรือกี่วันในการผลักดันกำลังพลเข้ายึดพื้นที่ยุทธศาสตร์คืนตามสิทธิ์ที่ชอบธรรม ก่อนที่สหรัฐฯ จะยื่นมือเข้ามาแทรกแซง หรือขู่ใช้มาตรการภาษีบีบบังคับให้หยุดยิง ซึ่งหากถึงเวลานั้น เส้นแบ่งเขตแดนจะถูก "แช่แข็ง" (Freeze) ตามจุดที่ทหารวางกำลังอยู่ทันที
เหตุการณ์ 8 ธันวาคม 2025 คือบททดสอบศักยภาพของรัฐบาลและกองทัพไทยในการบริหารจัดการความขัดแย้ง 3 มิติพร้อมกัน คือ 1. การทหาร: การรุกคืบเพื่อปักปันเขตแดนตามแผนที่ 1:50,000 ให้สำเร็จ 2. การข่าว: การชิงพื้นที่สื่อโลกเพื่อลบล้างภาพผู้รุกราน 3. การทูต: การรับมือแรงกดดันจากมหาอำนาจก่อนเสียงนกหวีดหมดเวลาจะดังขึ้น
ชัยชนะในครั้งนี้จึงไม่ได้วัดกันที่จำนวนกระสุนที่ยิงออกไป แต่วัดกันที่ความสามารถในการอธิบายความชอบธรรมในการป้องกันอธิปไตยให้โลกเข้าใจ และรักษาผืนแผ่นดินตามกฎหมายไว้ได้หรือไม่ คือเดิมพันสูงลิ่วของไทยในศักราช 2025








