การเลือกตั้งปี 2566 คือสัญญาณเตือนภัยระดับสูงสุดของ "พรรคประชาธิปัตย์" ในภาคใต้ เมื่อพรรคภูมิใจไทย สามารถเจาะฐานที่มั่น กวาด สส. มาได้ถึง 12 ที่นั่ง ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะแชมป์ เหลือเพียง 17 ที่นั่ง
ด้วยตัวเลขนี้ ยุทธศาสตร์ของภูมิใจไทยในการเลือกตั้งปี 2569 จึงชัดเจนอย่างยิ่ง นั่นก็คือจะต้องได้ สส. ภาคใต้ มากที่สุดเป็นอันดับที่ 1 โดยอาศัยกลยุทธ์ "บ้านใหญ่" ดูดตระกูลการเมืองท้องถิ่นที่แข็งแกร่งเข้าสังกัด เพื่อปิดช่องว่างเรื่องกระแสพรรคและอาศัยคะแนนจัดตั้งที่แม่นยำ
หากไม่มีตัวแปรแทรกซ้อน ภูมิใจไทยมีโอกาสสูงมากที่จะขึ้นแท่นเบอร์ 1 แต่ทว่า... ในสมรภูมิการเมือง "ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน" เมื่อเกิด 2 ปัจจัยสำคัญที่กำลังเขย่ากลยุทธ์บ้านใหญ่ให้สั่นคลอน นั่นคือ การกลับมาของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และโศกนาฏกรรมน้ำท่วมหาดใหญ่
1. ยุทธศาสตร์ "บ้านใหญ่" ปะทะ “อุดมการณ์คนใต้”
ภูมิใจไทยทราบดีว่าจุดอ่อนของตนในภาคใต้คือ "อุดมการณ์" ที่คนใต้มักยึดติดกับความเป็นสถาบันทางการเมือง (ประชาธิปัตย์เคยได้ชื่อว่าเป็นพรรคของคนใต้) พวกเขาจึงแก้เกมด้วยการใช้ระบบอุปถัมภ์ผ่านบ้านใหญ่ เพื่อให้ชาวบ้านรู้สึกว่าเลือกแล้วพึ่งพาได้ เลือกแล้วถนนลาดยาง เลือกแล้วงบลงพื้นที่
แต่การกลับมาของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่มาพร้อมภาพลักษณ์ของความซื่อสัตย์ หลักการ และความเป็นนักประชาธิปไตยสายอนุรักษ์นิยม ที่คนใต้โหยหา ก็อาจส่งผลให้บ้านใหญ่ของภูมิใจไทยที่เคยย้ายมาจากประชาธิปัตย์ ทำงานยากขึ้นทันที
เพราะ "กระสุน" (เงิน/ทรัพยากร) อาจเจาะไม่เข้าเมื่อเจอกับ "กระแสศรัทธา" ที่พุ่งสูงขึ้น การที่โพลระบุว่า ประชาธิปัตย์กลับมานำห่าง อาจสะท้อนว่าคนใต้ยังคงให้ค่ากับ "สัญลักษณ์ผู้นำ" มากกว่า "ผู้มีบารมีในพื้นที่"
2. วิกฤตน้ำท่วมหาดใหญ่: เมื่อพูดแล้วทำ (ไม่ไหว) กลายเป็นจุดอ่อน
ปัจจัยที่รุนแรงกว่ากระแสการเมือง คือ "ความเดือดร้อน ปากท้อง และชีวิต" การที่รัฐบาลภูมิใจไทยบริหารจัดการน้ำท่วมหาดใหญ่ผิดพลาดจนเกิดความสูญเสียมหาศาล คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำลายจุดแข็งที่สุดของพรรค นั่นคือคำว่า "การบริหารจัดการ"
ภูมิใจไทยพยายามสร้างแบรนด์ว่าเป็นพรรคนักปฏิบัติ แต่เมื่อเกิดวิกฤตจริงแล้วล้มเหลว โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจอย่างหาดใหญ่ ผลที่ตามมาคือ:
ความโกรธแค้นของคนชั้นกลางในเมือง: คนกลุ่มนี้ไม่สนใจระบบหัวคะแนน แต่สนใจความเสียหายของทรัพย์สิน พวกเขาจะลงโทษรัฐบาลผ่านคูหาเลือกตั้งอย่างรุนแรง
บ้านใหญ่ขยับไม่ออก: สส. หรือว่าที่ผู้สมัครในพื้นที่ แม้จะมีบารมีแค่ไหน แต่เมื่อเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงจากการบริหารจัดการที่ผิดพลาด ก็จะตอบคำถามของชาวบ้านได้อย่างยากลำบากในขณะลงพื้นที่หาเสียง
3. พรรคประชาธิปัตย์ VS พรรคภูมิใจไทย
สมการการเมืองภาคใต้ครั้งนี้ซับซ้อนกว่าทุกครั้ง เพราะไม่ใช่แค่การสู้กันระหว่างพรรค แต่เป็นการปะทะกันของ "ยุทธศาสตร์บ้านใหญ่" ของภูมิใจไทย กับ "อารมณ์ความรู้สึกร่วมของมวลชน" ที่เกิดจากกระแสนิยมในตัวบุคคล (อภิสิทธิ์) และความเจ็บปวดจากภัยพิบัติ (น้ำท่วม)
ก่อให้เกิดความสงสัยตามมาว่า ในพื้นที่เขตเมือง ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ แรงเหวี่ยงจากชนชั้นกลางที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม จะรุนแรงพอที่จะล้มระบบหัวคะแนนได้หรือไม่ ? และกระแส "อภิสิทธิ์รีเทิร์น" จะเป็นเพียงลมพัดผ่าน หรือเป็นพายุใหญ่ที่กวาดคะแนนเสียงกลุ่มอนุรักษ์นิยมให้หวนกลับคืน ?
ในขณะที่เขตชนบท ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของระบบอุปถัมภ์ "กระสุน" และเครือข่ายบ้านใหญ่ อาจจะยังคงทำงานได้ดี แต่คำถามคือ มันจะเพียงพอที่จะแบกรับกระแสลบในภาพรวมของพรรคได้มากน้อยแค่ไหน ?
การเลือกตั้งปี 2569 จึงเป็นบทพิสูจน์ครั้งสำคัญว่า พรรคประชาธิปัตย์ที่มีอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้า ยังคงมีมนตร์ขลังในภาคใต้ ไม่ใช่เป็นแค่ตัวเลขสวยๆ ในผลโพล รวมถึงความผิดพลาดในการจัดการน้ำท่วมหาดใหญ่ จะเป็นเพียงความไม่พอใจชั่วคราว หรือจะเป็น "จุดเปลี่ยน" ที่ทำให้ความฝันถึงการเป็นแชมป์ภาคใต้ของภูมิใจไทย ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ?
บทความโดย ศราวุธ เอี่ยมเซี่ยม
#น้ำท่วมหาดใหญ่ #อภิสิทธิ์รีเทิร์น #การเมืองภาคใต้ #ศึกเลือกตั้ง2569 #ภูมิใจไทย #ประชาธิปัตย์#บ้านใหญ่ #ข่าวการเมือง #วิเคราะห์การเมือง #แชมป์ภาคใต้








