หากการเลือกตั้งปี 2566 คือสงครามแห่ง "อุดมการณ์" การเลือกตั้งปี 2569 ที่กำลังจะมาถึง ก็คือการต่อสู้เพื่อ "การเอาตัวรอด" ของทุกพรรคการเมือง
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นระหว่างสองช่วงเวลานี้ ไม่ใช่เพียงแค่การย้ายขั้วสลับข้าง แต่คือการล่มสลายของเส้นแบ่งทางอุดมการณ์ (เสรีนิยม vs อนุรักษ์นิยม) จนนำไปสู่สภาวะวิกฤตศรัทธา ที่ประชาชนไม่สามารถใช้เกณฑ์ตัดสินใจแบบเดิมได้อีกต่อไป
1. เลือกตั้งปี 2566: การแบ่งข้างที่ชัดเจน
ในปี 2566 โจทย์ของประเทศถูกเซตไว้อย่างง่ายดายและทรงพลังที่สุด คือ "เอาลุง หรือ ไม่เอาลุง"
เส้นแบ่ง: ชัดเจนเหมือนขาวกับดำ ฝั่งเสรีนิยม (ก้าวไกล+เพื่อไทย) คือความหวังในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ในขณะที่ฝั่งอนุรักษ์นิยมคือผู้พิทักษ์สถานะเดิม
ผลลัพธ์: ชัยชนะอย่างถล่มทลายของฝั่งเสรีนิยมเกือบ 300 เสียง สะท้อนฉันทามติของสังคมที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
จุดเปลี่ยน: การที่พรรคเพื่อไทยยอม "ทุบหม้อข้าวตัวเอง" ข้ามขั้วไปจับมือกับฝั่งอนุรักษ์นิยม เพื่อโดดเดี่ยวพรรคก้าวไกล คือจุดเริ่มต้นของการทำลายเส้นแบ่งนี้ ต่อมามาเมื่อพรรคก้าวไกลถูกยุบ กลายเป็นพรรคประชาชน ช่วงแรกๆ ก็ยังคงสถานะ "ผู้ถูกกระทำ" และรักษาความบริสุทธิ์ทางการเมืองไว้ได้
2. เลือกตั้งปี 2569: เส้นแบ่งที่พร่าเลือน
ในการเลือกตั้งปี 2569 ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ภาพจำเดิมจะถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์ ด้วยเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ 3 ประการ
(1) เพื่อไทย: วิกฤตอัตลักษณ์ "อนุรักษ์นิยมใหม่" ที่ล้มเหลว
พรรคเพื่อไทยพยายามวางตำแหน่งตัวเองเป็น "โซ่ข้อกลาง" เพื่อหวังให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมยอมรับ แต่ล้มเหลว ด้วยเหตุผลดังนี้
ความไม่ไว้วางใจ: ประเด็นคลิปเสียงฮุนเซน และประวัติศาสตร์ความขัดแย้ง ทำให้ประชาชนหรือนักการเมืองที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมอย่างชัดเจน ไม่เคยไว้ใจเพื่อไทย หรือมองเป็นพวกเดียวกันจริงๆ
ฐานเสียงเดิมแตกสลาย: การข้ามขั้วเพื่อเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในปี 2566 ทำให้มวลชนเสื้อแดงและฝ่ายประชาธิปไตยจำนวนไม่น้อย ตีตัวออกห่าง
สถานะ: กลายเป็นพรรคที่ "ขวาไม่เอา ซ้ายไม่แล" โดดเดี่ยวที่สุดในสนามการเมือง
(2) พรรคประชาชน: บาดแผลจาก "เกมสลับขั้ว" รอบใหม่
การตัดสินใจโหวตให้ "อนุทิน ชาญวีรกูล" เป็นนายกฯ คือการเดินเกมอย่างสุ่มเสี่ยง เพื่อหวังสกัดขั้วอำนาจอื่นหรือหวังผลในระยะยาว แต่สิ่งที่เสียไปคือ "ความชอบธรรมทางอุดมการณ์"
ผลกระทบ: ด้อมส้มสายอุดมการณ์รู้สึกถูกหักหลัง ไม่ต่างจากที่นางแบกเพื่อไทยเคยรู้สึก
การเปลี่ยนสถานะ: พรรคประชาชนได้แปลงสภาพจาก "พรรคแห่งความหวัง" เป็น "พรรคการเมืองทั่วไป" ที่เล่นเกมอำนาจเป็น ซึ่งอาจขยายฐานเสียงได้ แต่ต้องแลกกับการสูญเสียฐานเสียงสายอุดมการณ์ไปจำนวนไม่น้อย
(3) ภูมิใจไทย การกลับมาของ "การเมืองแบบบ้านใหญ่"
เมื่ออุดมการณ์กินไม่ได้ และพรรคฝั่งเสรีนิยมอ่อนแอ พรรคภูมิใจไทยจึงผงาดขึ้นมา โดยใช้ระบบ "บ้านใหญ่" และกระสุนดินดำ เจาะพื้นที่โดยไม่สนกระแสพรรค อาศัยจังหวะที่เพื่อไทยและพรรคประชาชนขัดแย้งกัน เข้ายึดกุมอำนาจบริหาร
และอีกกรณีที่ต้องจับตาก็คือ การรีเทิร์นของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์รอบสอง ซึ่งดึงดูดกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่ "เกลียดทักษิณ" และ "กลัวส้ม" หรือมีข้อกังขากับ “ภูมิใจไทย” ให้กลับมามีที่ยืนในการเลือกตั้งครั้งใหม่
3. จากแบ่งข้างกันชัด สู่ไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร
ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างการเลือกตั้งปี 2566 กับปี 2569 ก็คือ "ตัวแปรแห่งชัยชนะ"
เลือกตั้งปี 2566: ชนะด้วย "กระแส" ใครครองโซเชียลมีเดีย ใครครองวาทกรรม เป็นผู้ชนะ
เลือกตั้งปี 2569: จะชนะด้วย "กระสุนและบ้านใหญ่" เมื่อประชาชนเบื่อหน่ายวาทกรรมสวยหรูแต่กินไม่ได้ และผิดหวังกับพรรคที่ตนรัก (ทั้งแดงและส้ม) คะแนนเสียงจะแตกกระจาย ไม่แบ่งเป็นข้างอย่างชัดเจนอีกต่อไป
การเลือกตั้งปี 2569 จะไม่ใช่การต่อสู้ระหว่าง "อนุรักษ์นิยม vs เสรีนิยม" อีกต่อไป แต่เป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิง "เค้กแห่งอำนาจ" บนซากปรักหักพังของศรัทธาประชาชน โดยพรรคภูมิใจไทยมีความได้เปรียบสูงสุด จากจำนวนบ้านใหญ่ ส่วนพรรคเพื่อไทยมีความเสี่ยงสูงสุดที่จะกลายเป็นพรรคต่ำร้อย หากไม่สามารถหาจุดขายใหม่ที่จับต้องได้ มากกว่าการอ้างผลงานในอดีต
บทความโดย ศราวุธ เอี่ยมเซี่ยม
#เลือกตั้ง2569 #วิเคราะห์การเมือง #ข่าวการเมืองไทย #ภูมิใจไทย #พรรคเพื่อไทย #พรรคประชาชน #บ้านใหญ่ #เลือกตั้งไทย #สนามเลือกตั้ง #การเมืองไทยวันนี้







