ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
ชีวิตไทยคือชีวิตที่เปี่ยมด้วย "มิตรไมตรี ความโอบอ้อมอารี และความนอบน้อมถ่อมตน" ซึ่งเกิดจากการมองโลกด้วย "เมตตา" โดยแท้
ท่านอาจารย์ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยพูดไว้ว่า ศาสดาของทุกศาสนาล้วนเป็น "มหาบุรุษที่เปี่ยมด้วยเมตตา" เพราะถ้าท่านเหล่านั้นไม่ปรารถนาดี หรือขาดปรารถนาที่จะให้มนุษย์พ้นทุกข์ ("เมตตา" ในศาสนาพุทธนั้นหมายถึงความปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นพ้นทุกข์) ศาสนาเหล่านั้นก็จะไม่ถูกค้นพบและเผยแพร่ให้ผู้คนได้รับประโยชน์ ซึ่งประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทุกศาสนาก็คือ ทำให้มนุษย์มี "เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ" ทำให้มนุษย์สามารถยับยั้งชั่งใจ ไม่กระทำบาปหรือสิ่งชั่วร้าย รวมถึงทำในสิ่งดี ๆ เพื่อทำให้ตนเองและผู้อื่นได้รับความสุข
อย่างที่ในศาสนาพุทธก็มีหลักการนี้กล่าวไว้ใน "โอวาทปาติโมกข์" ที่ทรงประกาศแก่ที่ประชุมสงฆ์ครั้งแรกหลังจากที่ทรงตรัสรู้ (พระสงฆ์เหล่านี้ล้วนได้รับการบรรพชาโดยพระพุทธเจ้า มีจำนวน 1,250 รูป ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ และวันนั้นเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ที่เรียกว่า "วันมาฆบูชา") ที่มีเนื้อหาหลัก 3 ประการ คือ 1. การไม่ทำบาปทั้งปวง 2. การทำกุศลให้ถึงพร้อม และ 3. การทำจิตใจให้ผ่องใส
ถ้าเราศึกษาพระพุทธประวัติ จะทราบว่าพระพุทธเจ้าสนใจเรื่อง "ชีวิตของผู้อื่น" มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ทรงเคยแอบออกไปนอกพระราชวัง (เพราะพระราชบิดาห้ามไว้ เพื่อไม่ให้เห็นโลกที่มีแต่ความทุกข์ข้างนอก ตามคำทำนายของพราหมณ์ที่บอกว่า เจ้าชายสิทธัตถะหรือชื่อเดิมของพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งที่กำเนิดมาเป็นพระราชโอรส ถ้าเป็นกษัตริย์ก็จะเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ หรือถ้าเป็นนักบวชก็จะยิ่งใหญ่จนได้เป็น "ศาสดา" ดังนั้นพระราชบิดาจึงไม่อยากให้ไปเห็นชีวิตของคนทั่วไป ที่จะนำไปสู่การเป็นศาสดา และกักกั้นเจ้าชายสิทธัตถะให้อยู่แต่ในความสุขสบาย เพื่อให้เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่) จนได้เห็นสภาพของการ "เกิด แก่ เจ็บ ตาย" ที่เรียกกันรวม ๆ ว่า "ความทุกข์"
ที่ทำให้ทรงต้องครุ่นคิดที่จะให้ผู้คนหลุดพ้นจากสภาพความทุกข์ดังกล่าว อันเป็นสภาวะทางจิตใจที่เกิดขึ้นในพระหทัยของพระองค์ที่อยากจะช่วยให้คนอื่นได้ "พ้นทุกข์" ที่เรียกสภาวะนี้ว่า "เมตตา" นั่นเอง
พระพุทธเจ้าต้องมีพระเมตตาอย่างมหาศาล เพราะทรงสละชีวิตส่วนพระองค์ ความสุขสบายที่พระราชบิดาสร้างให้ ทั้งพระมเหสีและพระโอรสที่เพิ่งเกิด ทรงใช้เวลาศึกษา "ธรรมะ" ของศาสดาต่าง ๆ อยู่ 6 ปี ก่อนที่จะตรัสรู้ด้วยพระองค์เองด้วยการค้นพบ "อริยสัจ 4" จากนั้นก็ทรงนำส่งความรู้นี้แก่ผู้อื่นในเวลาอันรวดเร็ว ถือว่าเป็นพระเมตตาที่ยิ่งใหญ่ เพราะได้สร้างสังคมที่จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ โดยได้ใช้เวลาหลังการตรัสรู้รวม 45 ปีนั้น เสด็จไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาอย่างไม่ย่อท้อ แม้จะปรินิพพานไปแล้ว พระสงฆ์ที่เป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนานั้นก็ถือปฏิบัติ ประพฤติตนให้อยู่ในความเมตตา ดั่งที่พระพุทธเจ้าได้ยึดถือมานั้นมาโดยตลอด
สภาวะของสังคมที่หล่อเลี้ยงกันด้วยความเมตตาดั่งนี้นี่เอง ที่ทำให้สังคมที่นับถือศาสนาพุทธได้เกิดเป็นสังคมของความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีความปรารถนาดีต่อกัน ก็ด้วยความเมตตาเป็นหลักยึดนี่เอง
นวนิยายที่สะท้อนหลักการนี้ของศาสนาพุทธได้เป็นอย่างดีก็คือเรื่อง "ไผ่แดง" (ความจริงท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ต้องการเขียน "เสียดสี" พวกที่นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งกำลังมีการเผยแพร่ลัทธินี้อย่างรุนแรงในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่พอเขียน ๆ ไปก็ได้ทำให้ สมภารกร่าง กลายเป็น "พระเอก" โดยสมภารกร่างได้นำหลักการต่าง ๆ ของศาสนาพุทธมาปราบปรามคอมมิวนิสต์ได้อย่างแนบเนียนโดยที่สมภารกร่างก็ไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งก็คือ "หลักความเมตตา" นี่เอง) โดยได้ให้ "ฝ่ายร้าย" ที่นำโดย นายแกว่น ผู้ชื่นชอบลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยได้ไปประชุมกับพวกคอมมิวนิสต์ในบางกอกมาหลายครั้ง แล้วเอามาถ่ายทอดให้สมัครพรรคพวกคนหนุ่ม ๆ ในหมู่บ้านไผ่แดงนิยมนับถือไปด้วย ในเรื่องความเป็นคอมมิวนิสต์ของนายแกว่นกับพวกนี้ ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้เขียนให้ออกในแนว "เชย ๆ" คือไม่ค่อยจะเป็นในแบบที่คอมมิวนิสต์จริง ๆ เขาเป็นเท่าไร เช่น วันหนึ่งได้ชวนพรรคพวกไปจับสมภารกร่าง โดยปลุกเร้ากันว่าสมภารกร่างนั้นเป็นพวก "ศักดินา" กินแรงชาวบ้าน เพราะไม่ทำงานแต่มาขอบิณฑบาตเอาฟรี ๆ แต่บางคนในกลุ่มไม่เห็นด้วย เพราะมองว่าสมภารกร่างไม่ได้ "กินแรง" จึงไม่เอาด้วย ที่สุดแผนการนั้นก็ล้มเหลวไป เป็นต้น
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์บอกเองว่า ที่จริงสมภารกร่างก็เป็นคนเชย ๆ เหมือนชาวบ้านในหมู่บ้านไผ่แดงทั้งหลาย เพียงแต่สมภารกร่างแม้จะเป็นคนเชยแต่ก็ไม่เชื่อใครง่าย ๆ (สมัยนั้นคนไทยเชื่ออะไรง่ายมาก ๆ พอมีปัญหาคอมมิวนิสต์มาเผยแพร่ลัทธิก็ตกใจหวั่นกลัว เพราะสหรัฐอเมริกาและผู้นำของไทยยุคนั้นที่เดินตามก้นสหรัฐอเมริกาโหมโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนัก อันเป็นเหตุผลหนึ่งที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เขียนนวนิยายเรื่องไผ่แดงนี้มาปรามไว้)
สมภารกร่างได้ใช้วิธีที่พระพุทธเจ้าสอนคือ "การพิจารณาตนเอง" มานั่งคิดหาทางแก้ปัญหา โดยไปนั่งที่หน้าพระประธานในโบสถ์ แล้วพูดถามขึ้นในใจ เล่าปัญหาให้พระประธานฟัง จากนั้นก็เหมือนมีเสียงตอบจากพระประธาน เกิดเป็น "ปุจฉาวิสัชนา" จนสมภารกร่างได้คำตอบแล้วเอาไปแก้ปัญหา
ซึ่งท่านอาจารย์คึกฤทธิ์อธิบายว่า สมภารกร่างนั้นแม้จะบวชเรียนมานาน แต่ก็ไม่ได้แตกฉานในพระบาลี แม้แต่เป็นนักธรรมชั้นอะไรก็ไม่ได้เป็น อาศัยแต่หลัก "ศีล สมาธิ ปัญญา" ที่เป็นหลักใน "ไตรสิกขา" หรือ "หลัก 3 ประการของผู้เป็นนักบวช" เท่านั้น โดยสมภารกร่างนั้นพยายามที่จะ "ถือศีล" คือรักษาศีลให้มั่นคง แม้จะโกรธแค้นนายแกว่นและพวกอย่างไรก็ให้อภัยและมีเมตตาเสมอ รวมถึงที่พยายามทำหน้าที่ของ "พระ" ให้สมบูรณ์ โดยเฉพาะการทำกิจสงฆ์ทั้งหลายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นศีลที่พระพุทธเจ้ากำหนดไว้ 227 ข้อสำหรับพระภิกษุนั้น แม้บางข้ออาจจะละเว้นหรือทำได้ไม่สมบูรณ์ เช่น บางทีก็ต้องพูดโกหกเพื่อแก้ไขสถานการณ์ ท่านก็เคยทำ แต่ว่าถ้าไม่เสียหายร้ายแรง ก็สามารถไป "สารภาพบาป" ต่อหน้าพระประธาน หรือในวันที่ลงโบสถ์ร่วมกับพระรูปอื่นแล้วให้พระรูปอื่นนั้น "ล้างบาป" ให้ (คือการแสดงอาบัติในการสวดปาติโมกข์ร่วมกับพระสงฆ์รูปอื่น)
ทั้งนี้ในฉากจบของเรื่องไผ่แดงก็สะท้อนภาพ "ชีวิตไทย" ได้อย่างซึ้งใจ คือฉากนั้นเป็นบ้านไผ่แดงในฤดูน้ำหลาก ชาวบ้านที่ตอนนี้ก็กลับมารักมาสามัคคีกันดีขึ้น หลังจากที่คอมมิวนิสต์ด้วยการนำของนายแกว่นไม่ประสบความสำเร็จในการชักจูงชาวบ้าน ซึ่งพอถึงหน้าน้ำเช่นนี้ชาวบ้านก็ไม่ค่อยได้มาทำบุญที่วัดเพราะเดินทางออกจากบ้านไม่ได้ หรือพระเองจะออกบิณฑบาตก็ไม่ได้เพราะน้ำเชี่ยวพายเรือลำบาก กระนั้นสมภารกร่างก็ยังให้เณรออกไปตีระฆังและกลองให้ชาวบ้านได้รับรู้ทุกวันว่า "วัดยังอยู่กับชาวบ้าน ชีวิตนี้ต้องดำเนินต่อไป"
เรื่องไผ่แดงนี้อ่านสนุกมาก เคยมีคนนำไปทำมาแล้วทั้งภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ และละครเวที เพราะมีเนื้อหาที่มีการ "ประชัน" ที่จะเอาชนะกันในเรื่องความเชื่อความคิดของชาวบ้าน ซึ่งแสดงความเป็นไทยได้อย่างงดงาม ที่สำคัญคือ "ชีวิตไทย" ที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้เขียนให้เห็นว่า คนไทยนั้นอยู่กันด้วยความเมตตาโดยแท้ ชาวบ้านไผ่แดงนั้นแม้จะมีเรื่องมีราวทะเลาะแว้งกัน แต่ศาสนาพุทธที่เน้นเมตตาให้อภัยต่อกัน ก็สามารถสมานแผลในสังคม หรือแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้ลุล่วงนั้นได้
ทั้งนี้ถ้าเราเอามาเทียบดูกับปัญหาต่าง ๆ ของประเทศไทย ก็จะพบว่าเราใช้เมตตานี้แก้ปัญหาหรือ "สร้างชาติ" ของเราเสมอมา ตั้งแต่ยุคที่ฝรั่งล่าอาณานิคมตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เราก็ประนีประนอมผ่อนปรน ไม่ทำสงครามต่อต้าน เราก็รอดพ้นการสูญเสียและรักษาอธิปไตยไว้ได้ หรือการล้มระบอบการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ถ้าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงมี "พระเมตตา" ให้อภัยกับคณะราษฎร เราก็คงไม่มีประเทศไทยตั้งอยู่อย่างสุขสงบดังเช่นทุกวันนี้ หรือเหตุการณ์ร้าย ๆ หลายครั้งร่วมสมัยกับเราในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ก็เป็นด้วย "พระเมตตา" ของพระองค์ท่านนี่แหละ ที่รักษาสังคมไทยให้ยังเป็น "แผ่นดินเดียวกัน" นี้ไว้ได้
ถ้าเรายึดหลัก "หัวใจความเป็นไทย" คือ "ความเมตตา" นี้ไว้เสมอ เราก็จะสามารถรักษาความร้าวฉานหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ ของประเทศไทยได้ตลอดไปเช่นกัน








