ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ /ทหารประชาธิปไตย
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2025 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ได้ลงมติเห็นชอบแผนสันติภาพกาซาที่เสนอโดยสหรัฐอเมริกาด้วยคะแนน 13-0 โดยรัสเซียและจีนงดออกเสียง มติฉบับนี้มีเป้าหมายเพื่อยุติสงครามที่ทำให้กาซาเสียหายอย่างหนักและสร้างกรอบการทำงานสำหรับการฟื้นฟูและเสถียรภาพในระยะยาว อย่างไรก็ตาม มติดังกล่าวได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากทั้งฝ่ายปาเลสไตน์, นักสิทธิมนุษยชน และแม้กระทั่งนักการเมืองฝ่ายขวาจัดของอิสราเอล ทั้งนี้ บทความนี้จะวิเคราะห์องค์ประกอบหลักของมติ, ความท้าทายในการนำไปปฏิบัติ และมุมมองวิพากษ์วิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชน
องค์ประกอบหลักของมติ กองกำลังเสถียรภาพระหว่างประเทศ (ISF) หัวใจสำคัญของมตินี้คือการจัดตั้ง กองกำลังเสถียรภาพระหว่างประเทศ (International Stabilisation Force - ISF) ซึ่งจะได้รับอำนาจในการปกครองกาซา, ปลดอาวุธ และเริ่มกระบวนการบูรณะเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 ปี กองกำลังนี้มีภารกิจที่กว้างขวาง ได้แก่ การรักษาความปลอดภัยบริเวณชายแดน, การประสานงานกับกองกำลังตำรวจปาเลสไตน์ที่ผ่านการฝึกอบรม, การประสานการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และที่สำคัญที่สุดคือการดำเนินการปลดอาวุธในฉนวนกาซาและปลดอาวุธกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่รัฐอย่างถาวร ประเทศอาหรับและมุสลิมหลายประเทศที่แสดงความสนใจส่งทหารเข้าร่วมกองกำลังนี้ระบุว่าการได้รับอนุมัติจาก UNSC เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการมีส่วนร่วม ซึ่งทำให้มติฉบับนี้มีความสำคัญทางการเมืองอย่างมากสำหรับรัฐบาลทรัมป์ที่พยายามผลักดันแผนสันติภาพนี้
คณะกรรมการสันติภาพ (Board of Peace) มติกำหนดให้มีการจัดตั้ง คณะกรรมการสันติภาพ ที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะเป็นประธาน หน่วยงานการปกครองชั่วคราว นี้มีหน้าที่กำหนดลำดับความสำคัญและระดมทุนเพื่อการบูรณะกาซา จนกว่า องค์กรปกครองปาเลสไตน์ (Palestinian Authority) จะดำเนินการปฏิรูปเสร็จสิ้น การจัดตั้งคณะกรรมการนี้สะท้อนถึงการครอบงำของสหรัฐในกระบวนการสันติภาพ ซึ่งเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าขาดความเป็นกลางและความสมดุล
เส้นทางสู่รัฐปาเลสไตน์ มติระบุว่าหลังจากมีความคืบหน้าในการบูรณะกาซาและการปฏิรูปของ Palestinian Authority อาจมี "เส้นทางที่น่าเชื่อถือสู่การกำหนดเจตจำนงตนเองของชาวปาเลสไตน์และการเป็นรัฐ" อย่างไรก็ตาม ข้อความดังกล่าวค่อนข้างคลุมเครือและไม่มีกำหนดเวลาหรือการรับประกันที่ชัดเจน ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเองของชาวปาเลสไตน์อาจถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
การถอนตัวของกองทหารอิสราเอล ตามมติ กองกำลังอิสราเอลจะถอนตัวจากกาซา "โดยอ้างอิงมาตรฐาน, เป้าหมาย และกรอบเวลาที่เชื่อมโยงกับการปลดอาวุธ" ซึ่งจะตกลงโดย ISF, กองกำลังอิสราเอล, สหรัฐ และผู้ค้ำประกันสัญญาสงบศึก การเชื่อมโยงการถอนทหารกับการปลดอาวุธนี้สร้างความไม่แน่นอนและอาจทำให้การถอนทหารล่าช้าออกไปได้
การต่อต้านและข้อวิพากษ์วิจารณ์ การปฏิเสธจากฮามาส ฮามาส ออกมาปฏิเสธมติอย่างเด็ดขาด โดยกล่าวว่ามติล้มเหลวในการตอบสนองสิทธิและข้อเรียกร้องของชาวปาเลสไตน์ และพยายามกำหนดการปกครองระหว่างประเทศในฉนวนกาซา โฆษกของฮามาสระบุว่า "การมอบหมายหน้าที่และบทบาทภายในฉนวนกาซาให้กองกำลังระหว่างประเทศ รวมถึงการปลดอาวุธแนวต่อต้าน จะทำให้กองกำลังสูญเสียความเป็นกลาง และกลายเป็นฝ่ายหนึ่งในความขัดแย้งที่สนับสนุนการยึดครอง" การปฏิเสธนี้สะท้อนถึงความวิตกกังวลที่ลึกซึ้งว่ามติดังกล่าวเป็นเพียงการเปลี่ยนรูปแบบการยึดครองจากอิสราเอลเป็นการปกครองระหว่างประเทศที่ยังคงไม่ให้อำนาจแก่ชาวปาเลสไตน์
ความไม่พอใจจากอิสราเอล แม้มติจะได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐ แต่นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูของอิสราเอลซึ่งถูกกดดันจากพันธมิตรฝ่ายขวาจัดก็วิพากษ์วิจารณ์มติที่ระบุถึงรัฐปาเลสไตน์ในอนาคต การคัดค้านนี้สะท้อนถึงความแตกแยกภายในอิสราเอลเองเกี่ยวกับอนาคตของกาซาและความเป็นไปได้ของสันติภาพสองรัฐ
ความสงสัยจากรัสเซียและจีน การที่รัสเซียและจีนงดออกเสียงแทนที่จะสนับสนุนมติสะท้อนถึงความสงสัยต่อแนวทางของสหรัฐ ทูตรัสเซียแสดงความกังวลว่า "น่าเสียดายที่เราเคยมีประสบการณ์ที่เลวร้ายในการเห็นวิธีแก้ปัญหาความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ที่สหรัฐผลักดัน ซึ่งนำมาซึ่งผลตรงกันข้ามกับที่ตั้งใจ" รัสเซียเคยเสนอมติทางเลือกที่มีถ้อยคำสนับสนุนรัฐปาเลสไตน์ที่แข็งแกร่งกว่า แต่ไม่ได้รับการพิจารณา
เสียงวิพากษ์วิจารณ์จาก Craig Mokhiber ใครคือ Craig Mokhiber? Craig Mokhiber เป็นอดีตผู้อำนวยการสำนักงานนิวยอร์กของ สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งลาออกจากตำแหน่งในปี 2023 เพื่อประท้วงความล้มเหลวของสหประชาชาติในการป้องกันสิ่งที่เขาเรียกว่า "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของอิสราเอลในกาซา" ด้วยประสบการณ์หลายทศวรรษในงานด้านสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศ เสียงของ Mokhiber จึงมีน้ำหนักและได้รับความเคารพจากนักสิทธิมนุษยชนทั่วโลก
การวิจารณ์อย่างรุนแรง Mokhiber โพสต์บน X (Twitter) ว่า "คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพิ่งผ่านมตินี้ที่น่าสยดสยองของสหรัฐด้วยคะแนนเห็นชอบ 13 เสียง และงดออกเสียง 2 เสียง ไม่มีสมาชิกคนใดของคณะมนตรีที่มีความกล้าหาญ, ต่อหลักการ หรือความเคารพต่อกฎหมายระหว่างประเทศที่จะลงคะแนนเสียงคัดค้านการกระทำอันเป็นอาณานิคมของสหรัฐ-อิสราเอลนี้" เขากล่าวเพิ่มเติมว่า "ข้อเสนอนี้ถูกปฏิเสธโดยสังคมประชาธิปไตยและกลุ่มต่างๆ ของปาเลสไตน์ รวมถึงผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศทุกแห่ง การต่อสู้เพื่อเสรีภาพของปาเลสไตน์จะดำเนินต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีพวกเขา"
การใช้สองมาตรฐานและความล้มเหลวของสหประชาชาติ Mokhiber เปรียบเทียบการทำงานของสหประชาชาติในกรณีปาเลสไตน์ว่าเหมือนกับ "การมีเครื่องตรวจจับควันที่ไม่มีแบตเตอรี่ ถูกล็อคไว้ในตู้ จึงไม่สามารถส่งเสียงได้ และนั่นแย่กว่าไม่มีอะไรเลยในมุมมองของฉัน เพราะมันหมายความว่าเมื่อสัญญาณเตือนเกิดดังขึ้น (อันเป็นสัญญานหลอก) มันจะเป็นการตัดสินใจทางการเมืองที่อิงจากการแบ่งพื้นที่อำนาจระหว่างมหาอำนาจ และหากเป็นพันธมิตรของสหรัฐ ก็มีความหวังเพียงเล็กน้อยที่คุณจะเห็นแนวทางที่มีหลักการ" เขาชี้ให้เห็นว่าอิสราเอลมีสถิติโลกในการละเมิดมติของคณะมนตรีความมั่นคง, สมัชชาใหญ่ และคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ แต่กลับไม่เคยถูกลงโทษอย่างจริงจัง สิ่งนี้สะท้อนถึงการใช้มาตรฐานสองแบบที่ชัดเจนในระบบความมั่นคงระหว่างประเทศ
มติเป็น "ใบมะเดื่อ" ทางการเมือง Mokhiber อธิบายว่า "สหรัฐกำลังทำสิ่งที่ฉันเรียกว่าการเก็บเกี่ยวใบมะเดื่อ และนี่เป็นใบมะเดื่ออีกใบหนึ่งที่ช่วยให้พวกเขาหลีกเลี่ยงการประณามในประเทศและระดับโลกสำหรับการมีส่วนร่วมในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา" ในมุมมองของเขา มติฉบับนี้ไม่ได้มุ่งแก้ไขปัญหาที่แท้จริงของชาวปาเลสไตน์ แต่เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ช่วยให้สหรัฐและอิสราเอลหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนนั่นคือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ชัดเจน Mokhiber กล่าวอย่างหนักแน่นว่า "เกี่ยวกับกาซา นี่คือกรณีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ชัดเจนที่สุดที่ฉันเคยเห็นในอาชีพการงานของฉัน เรากำลังเป็นพยานการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในศตวรรษที่ 21 และดูเหมือนว่าสหประชาชาติจะไม่สามารถหยุดยั้งมันได้อีกครั้ง" คำกล่าวนี้สะท้อนถึงความผิดหวังอย่างลึกซึ้งต่อองค์กรที่เขาเคยรับใช้มานานหลายทศวรรษ
ความท้าทายในการนำไปปฏิบัติ การปลดอาวุธฮามาสถือเป็นหนึ่งในประเด็นที่ละเอียดอ่อนและอันตรายที่สุดในระยะต่อไปของกระบวนการสันติภาพ ฮามาส ไม่น่าจะยอมปลดอาวุธโดยสมัครใจ ขณะที่การใช้กำลังเพื่อบังคับปลดอาวุธอาจนำไปสู่ความรุนแรงและความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในกาซายังคงยากลำบากมาก โดยชาวกาซาหลายคนต้องดิ้นรนเพื่อเข้าถึงสิ่งจำเป็นพื้นฐานหลังจากฝนตกหนักและน้ำท่วมส่งผลกระทบต่อครอบครัวกว่า 13,000 ครอบครัว ยังมีคำถามมากมายเกี่ยวกับกลไกการตรวจสอบของ UNSC, บทบาทของ Palestinian Authority และรายละเอียดภารกิจของ ISF ที่ยังไม่ชัดเจน ความไม่แน่นอนเหล่านี้อาจนำไปสู่ความขัดแย้งและปัญหาในการปฏิบัติงานได้
สรุป มติ UNSC เกี่ยวกับแผนสันติภาพกาซาเป็นความพยายามที่ทะเยอทะยานในการสร้างภาพของการยุติสงครามและสร้างเสถียรภาพในภูมิภาค มติดังกล่าวให้ความชอบธรรมระหว่างประเทศแก่แผนของรัฐบาลทรัมป์และสร้างกรอบทางกฎหมายสำหรับการเปลี่ยนผ่านจากความขัดแย้งสู่การฟื้นฟู อย่างไรก็ตาม มตินี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะจากนักสิทธิมนุษยชนอย่าง Craig Mokhiber ผู้เห็นว่ามติดังกล่าวเป็น "การกระทำอันเป็นการสนับสนุนลัทธิล่าอาณานิคม" ที่ปกปิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ให้ความชอบธรรมแก่การยึดครองแบบใหม่ ความสำเร็จของมตินี้จะขึ้นอยู่กับการแก้ไขปัญหาสาเหตุที่แท้จริงของความขัดแย้ง คือ การปฏิเสธสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเองของชาวปาเลสไตน์และการใช้มาตรฐานสองแบบของชุมชนระหว่างประเทศต่ออิสราเอล หากมตินี้ไม่สามารถรับประกันสิทธิพื้นฐานของชาวปาเลสไตน์และสร้างเส้นทางที่ชัดเจนสู่รัฐปาเลสไตน์ที่มีอธิปไตย มันอาจกลายเป็นเพียง "ใบมะเดื่อ" ทางการเมืองอีกใบหนึ่งที่ยืดเวลาความทุกข์ของชาวปาเลสไตน์ออกไปอีกหลายทศวรรษ ตามที่ Mokhiber และนักสิทธิมนุษยชนหลายคนเตือนไว้ หากปัญหาปาเลสไตน์ยังไม่ได้รับการแก้ไขที่ต้นเหตุ นั่นคือการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเองโดยสมบูรณ์ และอิสราเอลหยุดความก้าวร้าวตามนโยบายขยายดินแดนดังที่เป็นอยู่ ความวุ่นวายในภูมิภาคก็มีแต่จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก และอาจกลายเป็นสงครามขนาดใหญ่ที่มหาอำนาจจะเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเต็มตัว







