ความตึงเครียดระหว่าง “ญี่ปุ่น–จีน” ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงอีกครั้ง หลังท่าทีของ “ซานาเอะ ทาคาอิจิ” นายกรัฐมนตรีหญิงของญี่ปุ่น กลายเป็นชนวนสำคัญที่จุดแรงสั่นสะเทือนทางการทูตในเอเชียตะวันออก โดยมีประเด็น “ไต้หวัน” เป็นแกนกลางของรอยร้าวครั้งใหม่ และนำพาความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติมหาอำนาจเข้าสู่ภาวะตึงตัวที่สุดในรอบหลายปี
คำแถลงของ ทาคาอิจิ ที่ระบุในรัฐสภาญี่ปุ่นว่า หากจีนตัดสินใจใช้กำลังทหารเข้ายึดไต้หวัน การกระทำนั้นจะถูกมองว่าเป็น “ภัยคุกคามต่อความอยู่รอดของญี่ปุ่น” และอาจนำไปสู่การตอบโต้ทางทหารทันที สะท้อนการขยับจุดยืนด้านความมั่นคงของโตเกียวอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และเป็นสัญญาณชัดว่าญี่ปุ่นพร้อมเผชิญหน้าผ่านกรอบความมั่นคงระดับภูมิภาคร่วมกับพันธมิตร
คำกล่าวนี้จุดกระแสต่อต้านญี่ปุ่นในจีนอย่างรวดเร็ว โดยสื่อของรัฐบาลจีนโหมกระแสตำหนิอย่างหนัก กระทั่งรัฐบาลญี่ปุ่นต้องออกประกาศเตือนพลเมืองญี่ปุ่นในจีนให้เพิ่มความระมัดระวังด้านความปลอดภัย หลีกเลี่ยงพื้นที่ชุมนุม และหลีกเลี่ยงการเดินทางเพียงลำพัง โดยเฉพาะเมื่ออยู่กับเด็ก พร้อมกำชับว่า หากพบเห็นบุคคลหรือกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย แม้เพียงเล็กน้อย ให้รีบออกจากพื้นที่ทันที
ฝ่ายญี่ปุ่นนำโดย นายมิโนรุ คิฮาระ หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ออกมายืนยันว่า คำเตือนดังกล่าวเป็นการย้ำเตือนมาตรการความปลอดภัยจากการประเมินสถานการณ์ล่าสุด ซึ่งพบว่ากระแสความไม่พอใจญี่ปุ่นในสื่อจีนทวีความรุนแรงขึ้นต่อเนื่อง ถือเป็นการป้องกันเชิงรุกเพื่อดูแลพลเมือง หลังความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศกำลังดิ่งลงอย่างรวดเร็ว
ความขัดแย้งยังลามเข้าสู่แวดวงบันเทิงของจีน เมื่อบริษัทผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ประกาศเลื่อนการฉายภาพยนตร์ญี่ปุ่นอย่างน้อย 2 เรื่อง ได้แก่ “เครยอนชินจัง เดอะมูฟวี่ ตอน ร้อนแรงแซ่บเว่อร์! แดนเซอร์แห่งคาซึคาเบะ” และ “เซลล์ขยันพันธุ์เดือด” อย่างไม่มีกำหนด โดยสถานีโทรทัศน์ CCTV ระบุว่าเป็น “การตัดสินใจที่เหมาะสม” ภายใต้กระแสความไม่พอใจของผู้ชมชาวจีน
ด้านจีนตอบโต้ด้วยการเรียกร้องให้พลเมืองจีนพิจารณางดการเดินทางไปญี่ปุ่น และส่งสัญญาณว่า นายกรัฐมนตรีจีนอาจไม่จัดการพบปะกับนายกรัฐมนตรีทาคาอิจิ นอกรอบการประชุมสุดยอด G20 ที่แอฟริกาใต้ในสัปดาห์นี้ แม้ฝ่ายญี่ปุ่นจะพยายามใช้ช่องทางทูตเพื่อลดแรงปะทะก็ตาม โดยนายคิฮาระ เปิดเผยว่า ยังไม่มีการตัดสินใจเป็นทางการเกี่ยวกับการหารือทวิภาคี แต่ญี่ปุ่นยังคงเปิดกว้างสำหรับการเจรจาในทุกระดับ
กระนั้น ในมิติด้านเศรษฐกิจ นายเรียวเซ อาคาซาวะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของญี่ปุ่น ระบุว่า แม้จะมีมาตรการทางการเมืองจากจีน แต่ยังไม่พบการเปลี่ยนแปลงในมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากและวัตถุดิบสำคัญอื่น ๆ ที่อุตสาหกรรมญี่ปุ่นพึ่งพาอยู่ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาคธุรกิจญี่ปุ่นต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
ข้อกังวลนี้ทำให้ผู้นำจาก 3 สมาพันธ์ธุรกิจใหญ่ของญี่ปุ่นเข้าพบนายกรัฐมนตรีทาคาอิจิโดยตรง เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งใช้การทูตเชิงรุกแก้ไขความตึงเครียด โดยนายโยชิโนบุ สึสึอิ ประธาน Keidanren ย้ำว่า “เสถียรภาพทางการเมืองคือเงื่อนไขพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ” เป็นข้อความสะท้อนแรงกดดันจากภาคธุรกิจที่หวั่นผลกระทบระยะยาว
นักวิชาการอย่าง อัลเลน คาร์ลสัน จากมหาวิทยาลัยคอร์เนล ให้ความเห็นว่า การที่ทาคาอิจิไม่ยอมถอนคำพูดที่กระทบจีน ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปักกิ่งไม่พอใจอย่างรุนแรง และผลักดันความสัมพันธ์ของสองประเทศเข้าสู่ภาวะ “เปราะบางที่สุดในรอบหลายปี”
ในทางภูมิรัฐศาสตร์ รัฐบาลจีนยังคงอ้างกรรมสิทธิ์เหนือไต้หวันซึ่งปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย และไม่เคยปฏิเสธทางเลือกในการใช้กำลังเพื่อผนวกรวมเกาะแห่งนี้ ขณะที่รัฐบาลไต้หวันปฏิเสธคำกล่าวอ้างดังกล่าวมาโดยตลอด และยืนยันว่าอนาคตของไต้หวันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชนชาวไต้หวันแต่เพียงผู้เดียว
การที่ไต้หวันตั้งอยู่ห่างจากอาณาเขตของญี่ปุ่นเพียง 110 กิโลเมตร และน่านน้ำโดยรอบยังเป็นเส้นทางการค้าทางทะเลที่สำคัญยิ่งยวดต่อเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ทำให้ประเด็นนี้ไม่สามารถมองข้ามได้ และตอกย้ำว่าเหตุการณ์ใด ๆ ที่เกิดขึ้นกับไต้หวันย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และพร้อมเผชิญแรงปะทะจากจีนในทุกมิติ
ความตึงเครียด "ญี่ปุ่น–จีน" ครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงข้อขัดแย้งเชิงถ้อยคำ แต่เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ในเอเชียตะวันออก ที่ทั้งโลกกำลังจับตาอย่างใกล้ชิด
#ญี่ปุ่นจีน #ไต้หวัน #ทาคาอิจิ #ความมั่นคงเอเชีย #การทูตระหว่างประเทศ #ความขัดแย้งภูมิภาค #ข่าวต่างประเทศ #G20 #ความมั่นคงเอเชียแปซิฟิก #วิเคราะห์การเมืองโลก







