บทความ บทวิเคราะห์

จับตา บทบาท “บิ๊กหยอย” พิราบ คาบดาบ พร้อมกำราบเขมร

แชร์ข่าว

ผู้การวิศรุฒน์

นายอนุทิน  ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทยได้ประกาศตั้งแต่แรกที่มารับตำแหน่ง ให้กองทัพมีอำนาจในการตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างเต็มที่โดยตนเองทำหน้าที่ในการสนับสนุน 

ด้วยเพราะหลังการสู้รบกับกัมพูชากระแสความนิยมที่ประชาชนมีต่อกองทัพพุ่งขึ้นสูง ดังนั้นนายอนุทิน จึงยึดหลักการเป็นฝ่ายสนับสนุนกองทัพ  โดยไม่สวนกระแสของประชาชน 

โดยโครงสร้างการบังคับบัญชาของกองทัพแล้ว  ผู้บัญชาการทหารสูงสุด  ถือเป็นผู้บังคับบัญชาในสายกำลังรบ เนื่องจากในการสู้รบกับกัมพูชาเป็นการรบร่วม 3 เหล่าทัพ  และใช้บทบาทของคณะผู้บัญชาการทางทหาร (คบท.) เป็นหลัก 

โดยมี “บิ๊กหยอย” พล.อ.กฤษฏ์   บุญตานนท์  ผู้บัญชาการทหารสูงสุด  คนปัจจุบันที่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งต่อจาก “บิ๊กอ๊อบ” พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี  เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 24  ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา 

ในคณะผู้บัญชาการทหารประกอบด้วยผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นประธาน  ผู้บัญชาการทหารบก  ผู้บัญชาการทหารเรือ  ผู้บัญชาการทหารอากาศ  และเสนาธิการทหาร เป็นเลขานุการ 

“บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ กลาโหมเปิดเผยว่า ที่ ประชุม สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้มีมติให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในฐานะประธานคณะผู้บัญชาการทางทหารทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการการยึดในการสู้รบไทย-กัมพูชา  มาตั้งแต่เมื่อครั้งที่พลเอกทรงวิทย์  ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหาร สูงสุดแล้ว 

และการประชุมสมช. เมื่อ 11 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาโดยมี นายอนุทิน  เป็นประธาน ก็ใดมีมติให้กองทัพรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา โดยให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นหัวหน้าทีม  โดยนายอนุทิน ได้ไฟเขียวสนับสนุนหากต้องมีการปฏิบัติการทางการทหาร 

อย่างไรก็ตาม แม้ผู้บัญชาการฐานสูงสุดจะได้รับมอบหมายอำนาจแต่ในการปฏิบัติจริงก็ต้องเป็นอำนาจหน้าที่ของผู้บัญชาการเหล่าทัพโดยเฉพาะผู้บัญชาการทหารบกซึ่งเป็นเหล่าทัพที่ใหญ่ที่สุดและเป็นเหล่าทัพหลักรับผิดชอบในการสู้รบครั้งนี้ในส่วนของกองทัพภาคที่2 และกองกำลังสุรนารี 

โดยจะเห็นได้ว่าเมื่อครั้งที่ พล.อ.ทรงวิทย์ ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดแม้จะได้รับมอบอำนาจจากสภาสมช. ให้เป็นผู้บัญชาการการรบก็ตามแต่พลเอกทรงวิทย์ก็ได้ออกคำสั่งมอบหมายอำนาจและแต่งตั้งให้ พล.อ.พนา  แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ในฐานะที่เป็นเหล่าทัพรบหลัก 

เช่นเดียวกันในครั้งนี้พลเอกพนา ซึ่งนั่งเป็นผู้บัญชาการทหารบกต่อ เป็นปีที่ 2  ขณะที่ผู้บัญชาการเหล่าทัพชุดก่อนได้เกษียณราชการไปหมดแล้ว พล.อ.พนา จึงคุมกำลังรบหลักของกองทัพบกในการสู้ศึกกับกัมพูชา 

ดังนั้นการสู้รบในรอบที่สองกับกัมพูชาจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ พล.อ.พนา  เป็นสำคัญ เเพราะแม้ว่าผู้บัญชาการทหารสูงสุด  ผู้บัญชาการทหารเรือและผู้บัญชาการทหารอากาศจะเตรียมพร้อมแล้วก็ตาม แต่กองทัพบกซึ่งเป็นเหล่าทัพหลักรับผิดชอบพื้นที่ในการสู้รบ ยังไม่พร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่จะเข้าสู่การสู้รบ 

เพราะอาวุธยุทโธปกรณ์ที่สั่งซื้อใหม่ยังไม่สามารถนำมาส่งรวมถึงอาวุธกระสุนระเบิดต่างๆไม่สามารถจัดซื้อและได้รับของภายในระยะเวลาอันสั้นรวมถึงความพร้อมของระบบต่อต้านโดรนติดอาวุธยังไม่สมบูรณ์ 

จึงจะเห็นได้ ว่ามีการทอดระยะเวลาการสู้รบออกไปเพื่อให้กองทัพบกมีความพร้อมให้มากที่สุดด้วยปัจจัยและเงื่อนไขหลายข้อ 

จนมีกระแสข่าวว่าการสู้รบจะขึ้นหลังวันที่ 17 พฤศจิกายนนี้เพื่อให้งานสำคัญผ่านไปเรียบร้อยก่อน  แต่หากในระหว่างนี้กัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดการสู้รบก่อนฝ่ายไทยก็พร้อมที่จะตอบโต้ 

แต่หากประวิงเวลารบเพื่อรอความพร้อม ได้กองทัพบกก็จะทอดระยะเวลาออกไปเพื่อรอความพร้อมในหลายหลายด้านทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์และกำลังพลเนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่กี่วันหลังการลงนามสันติภาพของนายกรัฐมนตรีไทยและกัมพูชาที่มามาเลเซียเมื่อ 26 ตุลาคม 2568 กองทัพบกได้มีการปล่อยให้กำลังพลลากลับไปพัก เยี่ยมบ้านหลังจากที่ประจำการในแนวหน้ามาตั้งแต่การสู้รบในปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา  แต่ปรากฏว่ากลับไปพักบ้านได้ไม่กี่วันก็มีคำสั่งเรียกตัวให้เดินทางกลับที่ตั้งชายแดนไทย-กัมพูชา 

แต่ในระหว่างนี้จะเห็นได้ถึงบทบาทที่โดดเด่นของ พล.อ.อุกฤษฏ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในการแสดงออกถึงความเป็นผู้นำ  แม้ว่าโดยภาพลักษณ์จะเป็นนายทหารสายพิราบเติบโตมาในสายบุ๋น ฝ่ายอำนวยการ ก็ตาม แต่ในยาม บทบู๊ พล.อ.อุกฤษฏ์ ก็เข้มแข็งเด็ดขาด 

โดยเฉพาะการประกาศผ่านสื่อเดินหน้าการเก็บกู้ทุนระเบิดใน 13 พื้นที่โดยเริ่มจาก5 พื้นที่นำร่องเสียก่อน โดยไม่สนว่าทหารกัมพูชาจะร่วมมือหรือไม่หรือจะมาขัดขวางหรือแม้แต่ในบางพื้นที่ที่มีทหารกัมพูชาวางกำลังอยู่ก็ยืนยันว่าจะเดินหน้าเก็บกู้ระเบิดเพื่อความปลอดภัยของทหารหน้าแนวและพี่น้องประชาชนชายแดน 

“ ทำไมเราจะทำไม่ได้  ก็เราจะทำอ่ะ” พล.อ.อุกฤษฏ์  กล่าวด้วยเสียงเข้ม 

ไม่แค่นั้นยังมีการเรียกประชุมสั่งการ ในการเดินหน้าเคลียร์พื้นที่ชายแดนด้วยการเก็บกู้ทุ่นระเบิด  อย่างต่อเนื่องทั้งในพื้นที่กองทัพภาค1 กองทัพภาค2 และกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรี-ตราด 

โดยมีการจับตากันว่าการเก็บกู้ทุ่นระเบิดจะกลายเป็นเงื่อนไขของการเปิดฉากปะทะในที่สุด โดยเฉพาะเมื่อทหารไทยจะเข้าเก็บกู้ทุนระเบิดในพื้นที่ที่ทหารกัมพูชาไม่ต้องการให้ไปเฉียดใกล้เช่นปราสาทตาควาย และ ช่องอานม้า 

พล.อ.อุกฤษฏ์  เป็นนายทหารสายบุ๋น ที่เติบโตมาในกรมยุทธการทหารบกยาวนาน แต่ด้วยความที่อายุน้อย  จึงยังคงไม่เกษียณ 

มีรายงานว่า พล.อ.อุกฤษฏ์  มีการวางแผนการรบในด้านยุทธการ เพื่อให้สามารถรบชนะได้ในเวลาสั้นที่สุด สูญเสียน้อยที่สุด  

“ให้รอดู”  เสียงเล่าลือในกองบัญชาการกองทัพไทย  ให้รอดูว่า จะเกิดอะไรขึ้นนับจากนี้ 

ในขณะที่กองทัพอากาศมีการเตรียมพร้อมโดยมี “บิ๊กคิม” พล.อ.อ.เสกสรร คันธา ผบ.ทอ. นั่งประชุมหัวโต๊ะด้วยตนเอง  โดยมี “บิ๊กเอก” ฮอลลีวูด พล.อ.อ.ระวิน ถนอมสิงห์ ผู้บัญชาการควบคุมปฏิบัติการทางอากาศ (ผบ.คปอ.) เป็นสายคุมกำลังรบ  ได้ร่วมปฏิบัติมาในการสู้รบรอบแรก 

ขณะที่กองทัพเรือกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีตราด มีความพร้อมนานแล้วรอแค่จังหวะเท่านั้นเพราะการตัดถนนทางยุทธวิธีก่อสร้างเสร็จพร้อมเข้าพื้นที่ปัญหา 

จะเห็นได้ว่าในเวลานี้ทั้งรัฐบาลนายกรัฐมนตรีกลาโหมและผู้บัญชาการเหล่าทัพต่างมีจุดยืนเดียวกันคือพร้อมที่จะทำการสู้รบ 

แต่การสู้รบใช่ว่าจะเกิดขึ้นง่ายง่าย  แม้ว่านายอนุทิน จะเสมือนประกาศทำสงครามจากการยืนแถลงข่าวบนยอดภูมะเขือ จ. ศรีสะเกษ  พร้อมประกาศว่าเส้นทางสู่สันติภาพมันจบลงแล้วหลังกัมพูชาไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงสันติภาพยังคงมีการวางระเบิดสังหารบุคคลที่ถือเป็นการลอบทำร้ายหรือลอบยิงทหารไทยในอีกทางหนึ่ง 

ดังนั้นการสูญเสียขาที่เจ็ดของทหารจึงทำให้ทั้งรัฐบาลและกองทัพมีรีแอคชั่นแรงทั้งการระงับการส่งตัวเฉลย ทั้งการระงับข้อตกลงสันติภาพ 

แม้จะมีการวางกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ แต่ก็ใช่ว่าการสู้รบรอบที่สองจะเกิดขึ้น เพราะมีปัจจัยหลายอย่าง 

ผู้บัญชาการเหล่าทัพชุดเดิมได้เกษียณไปแล้วมีชุดปัจจุบันที่ขึ้นมาใหม่ อาจมีมุมมองและจุดยืนที่แตกต่างกันไป  เราจะจะเห็นได้ว่าหลังจากทหารไทยเหยียบกับระเบิดขาขาด  นายกรัฐมนตรีและ รมว กลาโหม  ได้แสดงจุดยืน แต่การสู้รบก็ยังไม่เกิดขึ้น 

แต่ให้จับตาบทบาทของ พล.อ.อุกฤษฏ์ ในฐานะผู้นำฝ่ายทหารที้ แม้ดูเงียบๆ แต่ถึงบทบู๊ ก็เด็ดขาดไม่แพ้ใคร  แม้จะเป็นนายทหารสายพิราบ แต่ก็เป็นพิราบที่คาบดาบ พร้อมรบเต็มร้อย

 

 

 

 #ชายแดนไทยกัมพูชา #บิ๊กหยอย #พิราบคาบดาบ #ความมั่นคง #การเมืองไทย

 

 

 

ข่าวแนะนำ