เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 รองศาสตราจารย์ ดร. ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ให้ความเห็นในเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า "เราอยู่ในสภาวะสงคราม – We are at war"
เมื่อปฏิญญาร่วมไทย-กัมพูชาถูกนายกรัฐมนตรีไทยสั่งระงับและพูดว่า "สันติภาพจบแล้ว" โดยสั่งให้เหล่าทัพเตรียมพร้อมเต็มที่ผ่านสภาความมั่นคงแห่งชาติ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ ก็น่าจะเป็นไปได้ใน 3 รูปแบบ คือ:
รูปแบบแรก – "สงครามเต็มรูปแบบ" หรือ Total War โดยไทยและกัมพูชาเข้าสู่สงครามใหญ่ (Conventional war) อย่างเป็นทางการ ซึ่งไทยมีเป้าหมายที่จะกำจัดความเป็นปฏิปักษ์ของกัมพูชาให้หมดไป โดยเฉพาะทางการทหารและการเมือง ส่วนกัมพูชาต้องการให้นานาชาติ รวมทั้งจีน สหรัฐฯ สหประชาชาติ และนานาชาติ เข้ามาแทรกแซง ช่วยจัดแนวชายแดนและเส้นเขตแดนให้ได้ดินแดนมากขึ้น รวมทั้งต้องการเปิดด่าน ยุติการถูกกดดันทุกรูปแบบ รวมทั้งการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และต้องการสอนบทเรียนให้กับไทยอย่างที่เคยทำกับหลายชาติว่ากัมพูชามีพวกพ้องในเวทีโลกที่คอยช่วยเหลืออยู่เสมอ
หากสงครามใหญ่เกิดขึ้นจริง ก็จะสอดคล้องกับความต้องการของชาวไทยจำนวนมากที่ต้องการให้เรื่องความขัดแย้งไทย-กัมพูชานั้น "จบ ๆ ไป" แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะคิดว่าไทยได้เปรียบทุกประตู แต่จะจบได้จริงหรือไม่นั้น ไทยก็จะต้องระดมสรรพกำลังของทุกภาคส่วนเข้ามาประกอบกันในการทำสงคราม โดยเฉพาะกองทัพไทยก็ต้องระดมกำลังรบทั้งหมดที่มีอยู่เคลื่อนเข้ายึดพื้นที่สำคัญทั้งทางการทหารและการเมืองของกัมพูชาไว้ให้ได้ทั้งหมด แล้วสถาปนาหรือกำหนดเงื่อนไข "ความเป็นมิตร" ให้กับกัมพูชาที่พ่ายแพ้สงคราม
ซึ่งก็จะคล้าย ๆ กับที่เวียดนามเคยทำอย่างเต็มรูปแบบในปี พ.ศ. 2521 ที่ได้ส่งกองกำลังทหารประมาณ 150,000 – 200,000 นาย (ที่มีประสบการณ์รบสูงมากจากการเอาชนะสหรัฐอเมริกาในสงครามเวียดนาม) เข้าไปโค่นล้มรัฐบาลเขมรแดงพอลพตที่สนับสนุนโดยจีน จัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิด ขีดเส้นปักหมุดเขตแดนใหม่ให้เวียดนามได้ดินแดนเพิ่ม และยึดครองกัมพูชาไว้ถึงกว่า 10 ปี แต่ก็ถูกต่อต้านว่าเป็นผู้รุกรานหรือไม่ได้เป็นมิตร และในที่สุดก็จำต้องถอนกำลังกลับเหตุเพราะแรงกดดันและคว่ำบาตรของสหประชาชาติ นานาชาติ รวมทั้งไทยและอาเซียน และเวียดนามก็ยังต้องปฏิบัติตามข้อตกลงสันติภาพปารีสในปี 2534 ที่มีชาติมหาอำนาจกำกับและหลังจากนั้น ก็มีกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ (UNTAC) อีกกว่า 20,000 คนเข้าไปควบคุมดูแลแทนอีกด้วย
สงครามเวียดนาม-กัมพูชาในครั้งนั้น เวียดนามสูญเสียกำลังทหารไปกว่า 30,000 นาย กัมพูชาสูญเสียไปกว่า 100,000 คน และมีหลายสิบประเทศ ทั้งมหาอำนาจรวมทั้งไทยและเพื่อนบ้านเข้าไปเกี่ยวข้องและสู้รบด้วย สุดท้ายแล้ว เวียดนามกับกัมพูชาก็ต้องเข้าสู่การเจรจาสันติภาพและทั้งสองประเทศก็ต้องกลับไปฟื้นฟูความสัมพันธ์กันใหม่ซึ่งก็ใช้เวลานับสิบปีจนกว่าจะกลับมาเป็นปกติได้
สงครามในรูปแบบที่หนึ่งนี้ ในขณะนี้ระหว่างไทย-กัมพูชายังเป็นไปได้ไม่มาก บริบทในปัจจุบันก็ต่างกันมาก แม้ว่าทั้งสองประเทศจะเข้มแข็งทางการทหารมากขึ้น แต่ก็มีข้อจำกัดเพิ่มมากขึ้นหลายอย่างด้วย ในส่วนของไทย ก็ยังไม่มีการเปิด "ห้องบัญชาการรบ" (War Room) ในระดับนโยบายสูงสุดที่สภาความมั่นคง (สภาสงครามเดิม) หรือจัดตั้ง "คณะรัฐมนตรีสงคราม" (War Cabinet) เพื่อควบคุมทิศทางของสงครามสมัยใหม่ที่จะต้องรบกันในทุกมิติทุกสมรภูมิ
แต่ก็ต้องถือว่าในขณะนี้ แนวโน้มที่จะเกิดสงครามใหญ่มีมากขึ้นกว่าเดิม เพราะด้วยกระแสชาตินิยมที่เข้มข้นขึ้น ด้วยการเตรียมพร้อมและความตั้งใจของกองทัพที่มีมากขึ้น และด้วยการสั่งการหรือการขู่ของฝ่ายการเมืองที่เกิดขึ้น ซึ่งหากมีการตัดสินใจในขั้นสุดท้ายของฝ่ายผู้นำของทั้งสองประเทศให้เข้าสู่สมรภูมิแล้ว สงครามใหญ่ก็จะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก
หากเกิดขึ้นจริง ความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นต่อทั้งสองฝ่ายก็คงไม่น้อย การยุติความเป็นศัตรูของกันและกันและสร้างความเป็นมิตรต่อกัน ก็คงจะยุ่งยากมากขึ้น เพราะมีแนวโน้มว่าจะไม่มีใครชนะแพ้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้จริง และหนทางสู่สันติภาพที่ทุกฝ่ายต้องการจากปากกระบอกปืนนั้น ก็คงจะอีกยาวไกล
รูปแบบที่สอง – "ความขัดแย้งแบบจำกัดและต่อเนื่อง" (Continuum of Limited Conflict) หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือทางการทหาร ไทยและกัมพูชาก็ยังคงขัดแย้งกันต่อไปและอย่างต่อเนื่อง ทางการเมืองคงจะมีการกล่าวหาและโต้ตอบกันรายวันเช่นเดิม ทางการทหารก็จะมีการกระทบกระทั่งหรือปะทะกันตามจุดต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ ตลอดแนวชายแดน โดยมีมหาอำนาจและชาติต่าง ๆ เข้ามาแทรกแซงหรือกดดันให้ทั้งสองฝ่ายกลับเข้าสู่ข้อตกลงสันติภาพอย่างชัดเจน
แต่ความขัดแย้งอาจจะไม่บานปลาย เหตุเพราะฝ่ายผู้นำทางการเมืองยังไม่พร้อมหรือยังไม่เห็นว่าการเข้าสู่สงครามใหญ่นั้นจะได้ประโยชน์สูงสุด เพราะอาจจะเห็นแล้วว่าสงครามนั้นจะไม่ยุติลงด้วยชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่สำคัญ ความสูญเสียจริง ๆ ที่จะเกิดขึ้นนั้น จะเกินกว่าที่ประชาชนทั่วไปจะรับได้ และยังอาจจะเกิดกระแสตีกลับความนิยม ทำให้อำนาจทางการเมืองของตนลดน้อยถอยลง หรือถึงขั้นต้องเปลี่ยนผู้นำเพราะตัดสินใจผิดพลาดทำให้เกิดความสูญเสียหรือเพลี่ยงพล้ำ
สถานการณ์ในรูปแบบที่สองนี้ ขณะนี้ถือว่าเกิดขึ้นอยู่แล้วในปัจจุบัน เป็นแต่เป็นรูปแบบที่น่าอึดอัดขัดใจประชาชนหลายกลุ่มเป็นที่สุด เพราะทำให้ต้องอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หลายคนไม่สามารถดำรงชีวิตเป็นปกติได้ โดยเฉพาะตามแนวชายแดน และทำให้เกิดบรรยากาศโดยรวมของความหวาดกลัววิตกกังวล ต้องตั้งรับต่อเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น หรือมีความรู้สึกว่าถูกกระทำ ถูกบิดเบือน ถูกให้ร้ายจากฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่เป็นธรรมอยู่ตลอดเวลา
คนไทยจำนวนมากจึงมีความต้องการให้มีการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าอย่างรวดเร็ว ชัดเจน เข้มแข็ง และเข้มข้นขึ้นอย่างเป็นเอกภาพ เพื่อรักษาเอกราช อธิปไตย ความปลอดภัย ความได้เปรียบหรือไม่เสียเปรียบเอาไว้ อย่างเป็นระบบและตามระบบที่ดีและที่มีอยู่แล้ว โดยไม่ได้หมายความว่าจะต้องเข้าสู่สงครามใหญ่กับกัมพูชาโดยไม่จำเป็น
รูปแบบที่สาม – "กลับสู่ ข้อตกลงสันติภาพ" ปัจจุบันความขัดแย้งไทย-กัมพูชานั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แต่เพียงสองประเทศหรือในระดับทวิภาคีตามที่ไทยต้องการและยืนยันตั้งแต่แรกอีกต่อไป สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น สมาชิกอาเซียน หลายประเทศ และอื่น ๆ รวมทั้งสหประชาชาติ ก็ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง แทรกแซง และชี้นำไทยและกัมพูชาให้เดินตามแนวทางของตนเอง เพราะต่างก็มีผลประโยชน์ของตนที่ต้องการรักษาไว้อย่างที่ทราบกัน
สถานการณ์ในรูปแบบที่สามนี้กำลังเกิดขึ้น และอาจจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตามความเชื่อมโยงของโลกสมัยใหม่ เราจึงได้เห็นการกดดันจากชาติต่าง ๆ นับตั้งแต่แรกที่เกิดความขัดแย้งจนถึงปัจจุบัน และในขณะนี้ก็มีความชัดเจนพอสมควรในรอบไม่กี่วันที่ผ่านมาแล้วว่า สหรัฐฯ จีน และบางประเทศ จะใช้เงื่อนไขทั้งทางเศรษฐกิจ การทหาร และการเมืองกดดันให้ไทยกลับไปเข้าสู่ข้อตกลงสันติภาพหรือปฏิญญาร่วมกับกัมพูชาอีก
ดังนั้น ไทยควรจะต้องตั้งหลักให้ดีในครั้งนี้ หา "สมดุลใหม่" ทางยุทธศาสตร์ของตนเองให้พบ (Strategic New Equilibrium) และพึงระวังให้มากว่าไม่ควรจะไปเผชิญหน้าหรือขัดแย้งกับประเทศต่าง ๆ เหล่านั้นโดยไม่จำเป็น ซึ่งบ้างก็เป็นพันธมิตรทางการทหารของเรา บ้างก็เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ และส่วนใหญ่ก็เป็นมิตรประเทศและเป็นคู่ค้าที่สำคัญลำดับต้น ๆ ของเรา
ในขณะเดียวกัน ไทยก็ควรทำ "ความเข้าใจ" กับประเทศเหล่านั้นให้ชัดเจนว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงสันติภาพในรอบล่าสุดนี้ตั้งแต่แรก (เช่น การถอนกำลังเองฝ่ายเดียวโดยไม่มีการสังเกตการณ์อย่างเป็นทางการ การลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิด การใช้อาวุธคุกคามและรุกล้ำอธิปไตยและดินแดน ฯลฯ)
ที่สำคัญ ไทยควรเสนอแนะให้มีกลไกและมาตรการเพิ่มเติมเพื่อบังคับและลงโทษกัมพูชาหากทำเช่นเดิมอีก โดยให้ชาติเหล่านั้น ช่วยนำไปกดดันและบังคับให้กัมพูชากลับเข้ามาสร้างสันติภาพอย่างจริงจัง ก่อนที่ไทยจะยอมรับหรือตกลงในเงื่อนไขต่าง ๆ ของชาติเหล่านั้นอีกครั้ง
โดยสรุป ถึงแม้ว่าไม่มีใครจะหยั่งรู้อนาคตได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นระหว่างไทยและกัมพูชา แต่มีความจำเป็นที่จะต้องเตรียมรับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วให้ครบถ้วนและรอบด้านในทุกสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น ทั้งนี้เพื่อความมั่นคงและปลอดภัยของประเทศและของทุกคน
#ไทยกัมพูชา #สภาวะสงคราม #ปณิธานวัฒนายากร #ความมั่นคง #สันติภาพจบแล้ว #TotalWar #StrategicNewEquilibrium







