ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
การมองชีวิตให้ “ลึกซึ้ง” ไม่ใช่แค่มองให้ละเอียดและรอบด้านในตัวคน ๆ หนึ่ง แต่ต้องมองไปยังคนอื่น ๆ รายรอบ ด้วยความละเอียดรอบด้านในตัวของทุก ๆ คนนั้นด้วย
วันหนึ่งผู้เขียนมีความสงสัยว่า ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ชอบความเป็นอะไรมากกว่ากัน ระหว่าง “ปราชญ์” กับ “พหูสูต” พอถามไปท่านก็ตอบว่า ท่านชอบคำว่า “พหูสูต” มากกว่า แล้วท่านก็อธิบายว่าความเป็นปราชญ์นั้นไม่ยาก เพียงแต่รักการเรียนรู้ มีความตั้งใจใฝ่ศึกษา ทุกคนก็เป็นปราชญ์ได้ (ภายหลังผู้เขียนจึงได้ไปอ่านพบว่า “ปราชญ์” ในพจนานุกรมนั้นแปลว่า “ผู้รักในการหาความรู้” ตรงตามที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้บอกไว้) ส่วน “พหูสูต” นั้นเป็นยาก เพราะจะต้องมี “พรสวรรค์” คือความสามารถพิเศษในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย อย่างที่ท่านได้มาวิเคราะห์ตัวเองว่า คงจะเป็นด้วยนิสัยอยากรู้อยากเห็น เห็นอะไรก็เก็บเอามาคิดมาจำ เหมือนกับ “คนเก็บขยะ” เมื่อเวลาที่เดินในที่ต่าง ๆ ก็แบกกระสอบเก็บกวาดเอาสิ่งต่าง ๆ ข้างทางนั้นไปเรื่อย ที่สุดก็จะมี “สติปัญญามาก” เพราะทุกสิ่งที่เราได้พบได้เห็นนั้นล้วนแต่มีประโยชน์และเพิ่มพูนสติปัญญาให้กับเราทั้งสิ้น (“พหูสูต” นี้แปลว่า “ผู้ฟังมาก” พหู, พหุ คือ ฟัง สูต, สุตะ คือ มาก ดังที่มีสุภาษิตว่า “ผู้ฟังมากคือผู้รู้มาก”) ดังนั้นฉายาที่เหมาะสมกับท่านที่สุดน่าจะเป็น “กระสอบใส่ความรู้” นั้นมากกว่า
ผู้เขียนเคยถามท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ว่า ท่านชอบงานเขียนเล่มใดของท่านเป็นพิเศษ ท่านตอบว่า “ซูสีไทเฮา” ซึ่งท่านอธิบายว่าเป็นเพราะอ่านแล้วไม่น่าเชื่อเลยว่า “คนเขียน” คือตัวท่านนั้นจะมีความฉลาดลึกล้ำถึงขนาดนั้น ที่จริงเรื่องซูสีไทเฮานี้ท่านเอาเรื่องที่มีฝรั่งไปค้นคว้าเขียนถึงประเทศจีนในช่วงสิ้นสุดราชวงศ์ชิง ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐใน ค.ศ. 1910 (ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เกิด ค.ศ. 1911 ซึ่งท่านบอกว่าท่านน่าจะมีอะไรเกี่ยวกับพระนางซูสีไทเฮานั้นอยู่บ้าง เช่น เคยมีบุญกรรมมีกรรมในอดีตร่วมกันมา จึงทำให้ท่านอยากเขียนเรื่องเกี่ยวกับพระนางซูสีไทเฮานี้) ชื่อเดิมของพระนางซูสีไทเฮาก็คือ “เยโฮนาลา” แปลว่า “นางกล้วยไม้” เป็นสาวแมนจู เชื้อสายเดียวกับกษัตริย์ในราชวงศ์ชิง พ่อเป็นขุนนางในวัง แต่พอพ่อตายลงก็ต้องขายทรัพย์สินต่าง ๆ เพื่อจัดงานศพจนหมดเนื้อหมดตัว วันหนึ่งมีการประกาศจากวังหลวงว่าจะมีการมาคัดตัวหญิงสาวตามตำบลต่าง ๆ ไปเป็นพระสนมของฮ่องเต้ นางเยโฮนาลาก็ติดสินบนเจ้าหน้าที่ที่ออกมาทำการคัดตัว จนได้เข้าไปอยู่ในวัง หลายเดือนผ่านไปฮ่องเต้ก็ยังไม่ได้เรียกตัวนางเข้าไปรับใช้เสียที จนวันหนึ่งมีคนมาบอกว่าฮ่องเต้จะมาเที่ยมชมสวนใกล้ ๆ เรือนพักของนาง ๆ จึงเล่นดนตรีและร้องเพลง จนฮ่องเต้ได้ยินและแวะมาหา ที่สุดก็เกิดปฏิพัทธ์พิศวาส นางก็ได้ไปอยู่ในพระราชวัง เป็นนางสนมชั้นเอก ต่อมาตั้งครรภ์คลอดออกมาเป็นพระโอรส จึงได้เป็นฮองเฮาในตำแหน่งซูสีไทเฮานั้น จนเมื่อพระโอรสขึ้นครองราชย์ พระนางก็กำกับอยู่เบื้องหลัง กลายเป็น “จักรพรรดินี” ที่มีอำนาจมากที่สุดและ “น่ากลัวที่สุด” เพราะความฉลาดอย่าง “เหลือร้าย” นั่นเอง
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์บอกว่า ฝรั่งคนที่เขียนเรื่องนี้ไม่ได้มีรายละเอียดเรื่องเล่ห์กลต่าง ๆ ของพระนางซูสีไทเฮาเท่าใดนัก เพียงแต่ท่านเอาเค้าความคิดต่าง ๆ นั้นมาใส่รายละเอียดด้วยสติปัญญาของท่าน โดยมีต้นแบบในสำนวนการเขียนแบบเรื่อง “สามก๊ก” ของเจ้าพระยาพระคลังหน อันเป็นสำนวนที่คนไทยชื่นชอบและคุ้นเคย ซึ่งท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็เคยใช้สำนวนแบบนี้สร้างชื่อเสียงให้ท่านในงานเขียนยุคแรก ๆ ของท่าน ตอนที่ท่านเป็นนักหนังสือพิมพ์ใหม่ ๆ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น (เช่นเรื่อง เบ้งเฮ้ก และโจโฉนายกตลอดกาล เป็นต้น) อนึ่งในเรื่องซูสีไทเฮาฉบับที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ “สร้างสรรค์” นี้ ท่านยังได้เพิ่มสีสันให้กับขันทีคนหนึ่ง ให้เป็นคนที่รับใช้พระนางซูสีไทเฮาได้อย่างเรียบร้อยในทุกเรื่อง อย่างที่สำนวนไทยเรียกว่า “รับลูก” คือทำงานได้สำเร็จในทุก ๆ เรื่องได้เป็นอย่างดี (แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องไม่ดี - ฮา) ขันทีคนนั้นชื่อว่า “ลิเลียนยิง” ซึ่งในตอนที่โรงพิมพ์สยามรัฐจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ออกมาจำหน่ายครั้งหลังสุดใน พ.ศ. 2528 ผู้เขียนได้ไปขอให้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ช่วยเซ็นชื่อเป็นที่ระลึกให้ด้วย ท่านเขียนไว้ว่า “ให้ลิเลียนยิงด้วยความรัก – (ลายเซ็น) คึกฤทธิ์ ปราโมช” ซึ่งผู้เขียนก็แอบปลื้มมาโดยตลอด เพราะลิเลียนยิงนี้ถือว่าเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ต่อพระนางซูสีไทเฮาเป็นอย่างยิ่ง แม้ในตอนที่พระนางซูสีไทเฮาสิ้นอำนาจ ก็ยอมที่จะฆ่าตัวตายเพื่อไปรับใช้พระนางในสัมปรายภพนั้นด้วย (ตอนที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ถึงแก่อสัญกรรม ผู้เขียนจึงถือเคล็ดด้วยการบวชหน้าไฟในพิธีพระราชทานเพลิงศพของท่าน เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2538 นั้น)
ในส่วนตัวของผู้เขียน ชอบนวนิยายในชุด “หลายชีวิต” ของท่านมากที่สุด (นวนิยายเรื่องแรกของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ที่ผู้เขียนได้อ่านก็คือ “ไผ่แดง” ใน พ.ศ. 2519 เพราะท่านอาจารย์ชัยอนันต์ สมุทวณิช ผู้สอนวิชาหลักรัฐศาสตร์ ในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ท่านได้ “แอสไซน์” ให้ไปค้นคว้าหนังสือเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งเรื่องไผ่แดงเป็นเล่มหนึ่งในลิสต์ดังกล่าว เมื่ออ่านแล้วก็ทำให้ “ทึ่ง” ในลีลาการเขียนของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เป็นอย่างมาก เพราะไม่เพียงแต่อ่านสนุก แต่ยังทำให้เข้าใจในเรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์ได้ง่าย ๆ โดยไม่รู้สึกตัว ที่สำคัญคือได้เรียนรู้ชีวิตแบบ “ชาวบ้านไทย ๆ” ที่น่าสนใจว่า ชนชั้นศักดินาอย่างท่านนั้นสามารถรู้รายละเอียดต่าง ๆ ของ “ไพร่บ้าน ๆ” นั้นได้อย่างไร) โดยเรื่องหลายชีวิตเป็นการพรรณนาถึงชีวิตคนไทยหลากหลายฐานะทั้งชายและหญิง ที่เกิดและเติบโตมาในหลาย ๆ สถานที่ มีภูมิหลังที่แตกต่างกัน รวม 11ชีวิต บ้างสูงศักดิ์เป็นถึงหม่อมเจ้า บ้างต่ำศักดิ์เป็นโสเภณี บ้างเป็นคนดีมาก ๆ แบบพระสงฆ์ และบ้างก็ชั่วมาก ๆ แบบมหาโจร ที่สุดต้องมาตายพร้อมกัน ซึ่งสาระสำคัญของนวนิยายเรื่องนี้ ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้มาสรุปไว้ในตอนชีวิตสุดท้าย ที่แสดงถึง “สามัญลักษณะแห่งชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตาย และกฎแห่งกรรม” ด้วยสำนวนที่กินใจว่า
“หลายชีวิต ... หลายชีวิตที่มาจากที่ต่าง ๆ กัน คนละวัย คนละเพศ คนละอาชีพ แต่มาจบลงพร้อมกัน ณ สถานที่เดียวกัน อาการอย่างเดียวกัน และเวลาเดียวกัน ใครจะเป็นผู้วินิจฉัย เป็นผู้ชี้ขาดได้ว่า กรรมอันใดเป็นเหตุให้เป็นไปเช่นนั้น
ทุกคนมีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง และกรรมนั้นก็พามาถึงอวสานอันเดียวกัน แต่กรรมนั้นคือกรรมอันใดเล่า ที่พาเอาความตายมาถึงคนเป็นอันมากในเวลาเดียวกัน
สิ่งที่เราผู้ไม่ใช่พรหมพอจะมองเห็นได้นั้น ก็มีแต่อย่างเดียวคือ มรณะซึ่งทุกคนกลัวเกรงนั้น ในบางกรณีก็เป็นการลงโทษอย่างแรงของกรรมอันชั่ว บางครั้งก็เป็นผลสนองตอบแทนกรรมอันดีบริสุทธิ์ บางคราวก็เป็นกุญแจไขปัญหา และบางโอกาสก็เป็นยาสมานแผล ในเมื่อยาอย่างอื่นไม่สามารถรักษาให้หายได้
หลายชีวิตที่เคยรัก เคยเกลียด เคยหัวเราะ เคยร้องไห้ เคยมีทุกข์มีสุข มาจบลงพร้อมกัน แต่ทว่าจบนั้นจบจริงหรือ แสงแดดยังส่องจับน้ำค้างตามใบหญ้าเป็นประกาย บนตลิ่งและตามสุมทุมพุ่มไม้ยังเต็มไปด้วยชีวิตน้อยใหญ่ที่ร่าเริง มีแต่ความหวัง แม่น้ำสายนั้นยังคงไหลต่อไปอย่างเชื่องช้า ไหลไปมาสู่สมุทรอันไพศาล ตราบใดที่แม่น้ำนั้นยังอยู่ เรือแพก็จะสัญจรไปมา ขึ้นล่องไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนกับธารแห่งชีวิต ซึ่งไหลอยู่เป็นนิรันดร มีเกิดแล้วก็มีตาย แล้วก็ต้องมีเกิดอีก ผู้ที่จะรอดพ้นไม่ถูกธารนั้นกลืนหายไป ก็คือผู้ที่สามารถว่ายเข้าหาฝั่งขึ้นยืนเสียบนตลิ่งในที่แห้ง ไม่ปล่อยตัวให้ไหลไปตามสายธารแห่งชีวิตนั้น แต่คนที่จะทำเช่นนั้นได้จะมีสักกี่คน? เพราะกระแสธารแห่งชีวิตนั้นไหลเชี่ยวแรงนัก”
ความคิดที่เกิดจากปัญญาอันชัดเจนแบบนี้แหละ ที่บาลีท่านเรียกว่า “วิมุติ” แปลว่า “หลุดพ้น” หรือ “ใสสะอาด” ใครคิดได้หรือมีอยู่ก็จะ “สุขสบาย” และ “ไม่เศร้าหมอง”








