กรณี จ.ส.อ.เทิดศักดิ์ สมาพงษ์ ผบ.มว.ปล. เหยียบทุ่นระเบิด ขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนรอบฐานปฏิบัติการห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เป็นเหตุให้ “ข้อเท้าขวาขาด” จากการลอบเข้ามาวางกับระเบิดของทหารกัมพูชา เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา และตามมาด้วย การยิงปืนกลเล็ก อีก 5 นัด แบบไร้เป้าหมาย บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ประสา บารอน เป็นเดือดเป็นร้อนไม่น้อยกว่าใคร เห็นใจและเสียใจด้วยกับ “ครอบครัวสมาพงษ์” โดยเฉพาะ “จ่าเทิดศักดิ์” ผู้สูญเสีย เป็นทหารพิการข้อเท้าขาดคนที่ 7 หลังจากก่อนหน้านี้ ทหารไทยเหยียบกับระเบิดที่ทหารกัมพูชาลอบมาวางไว้ ข้อเท้าขาดไปแล้ว 6 ราย ภายในปีนี้ นับแต่มีสงครามไทย-กัมพูชา ตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม
บรรทัดนี้ บารอน สนับสนุนแนวทางของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี คำสั่งแรก ให้หยุดทุกข้อตกลงสัญญาสันติภาพ และ หยุดการส่งตัวเชลยศึกทหารกัมพูชา 18 คน กลับมาตุภูมิ และ มอบอำนาจให้กระทรวงกลาโหม กับ กองทัพ ดำเนินการไปตามแผน ทุกอย่างที่กลาโหมกับกองทัพดำเนินการเห็นด้วยทุกอย่างและร่วมรับผิดชอบเต็มที่ งานนี้ต้องใจเย็นๆ ฮุนเซน ใช้วิชามาร ใช้ความชำนาญจากสงครามกองโจร โยนระเบิดอารมณ์ใส่ไทย ให้เป็นฝ่ายลั่นกระสุนโจมตีกัมพูชา เพื่อชิงความได้เปรียบบนเวทีการเมืองโลกเท่านั้น ไทยต้องสร้างความชอบธรรมให้โลกเห็นก่อนจะถล่มกัมพูชา
มองดูการเมืองไทย ยังเป็นการเมืองสามก๊ก กั๊กกันไปกั๊กกันมา ระหว่าง 3 พรรคการเมืองใหญ่ ได้แก่ พรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย และ พรรคภูมิใจไทย ถ้า สองพรรคจับมือกัน ที่เหลือ อีกพรรคจะพลาดท่าเสียที เริ่มตั้งแต่ พรรคประชาชน ไปเสียทีพลาดท่าให้ พรรคเพื่อไทย จับมือกับ พรรคภูมิใจไทย ทำให้น้ำตาตกใน ไม่ได้เป็นแกนนำรัฐบาล จาก เก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ต้องตกที่นั่ง เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภา
เพื่อไทย อยู่ในอำนาจได้ไม่ถึง 2 ปี เดินเกมการเมืองพลาด ปล่อยให้ภูมิใจไทยออกจากรัฐบาล เหมือนปล่อยอำนาจหลุดมือ เมื่อ พรรคประชาชน ได้เวลาสางแค้นต้องชำระ จับมือพรรคภูมิใจไทย ด้วยเงื่อนไขที่ใครๆก็คิดไม่ถึง ดึงงูเห่า 16 เสียง จาก กลุ่มนายสุชาติ ชมกลิ่น พรรครวมไทยสร้างชาติ ออกจากร่วมรัฐบาล เท่านั้น รัฐบาลแพทองธารก็ถึงกาลอวสานทันที ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดย พรรคประชาชนยกมือสนับสนุน แลกกับเงื่อนไข ต้องแก้รัฐธรรมนูญ และ ยุบสภาภายใน 4 เดือน แต่ พรรคประชาชน ไม่ขอเข้าร่วมรัฐบาล ยังคงเป็นผู้นำฝ่ายค้าน อนุบาลรัฐบาลเสียงข้างน้อย
เพื่อไทย ต้องหอบ 139 สส. ไปทำหน้าที่ฝ่ายค้านผสมแค้น เป็นตาแม้นกลืนเลือด จ้องจะเชือดรัฐบาลภูมิใจไทย ด้วยการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจ แต่ ไม่ได้รับความร่วมมือจากฝ่ายค้านใหญ่ พรรคประชาชน ที่อ้างว่ายังไม่มีเหตุผลเพียงพอ และจะชะลอให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่สำเร็จได้ เพื่อไทย ใช้เพียง 100 เสียง ก็สามารถเข้าชื่อยื่นญัตติไม่ไว้วางใจได้ก็จริง แต่นอกจากไม่สามารถล้มรัฐบาลได้ เพราะ พรรคประชาชน จะอนุบาลอนุทิน สวมวิญญาณฝ่ายค้ำรัฐบาลแทน
ยังเสี่ยงที่อาจจะเพลี่ยงพล้ำ หากมีการยุบสภาก่อนจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นพรรคการเมืองเพิ่งจะผลัดใบ ได้หัวหน้าพรรคใหม่ๆ ยังหาแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีไม่ได้
ถามตัวเองก่อนว่าพร้อมเลือกตั้งแล้วหรือยัง
มองการเมืองอเมริกา ยุคราชาธิปไตย ของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสมัยที่สอง ที่มีความคิดจะแก้ไขรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ให้ตนสามารถเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 3 ได้ ท่ามกลางคะแนนนิยมตกต่ำสุดๆ หยุดกระแสหาเสียงไม่เอาคิงส์ยังไม่ได้ ดูจากการเลือก “นายกเทศมนตรีนิวยอร์ก” ถิ่นของ ทรัมป์ ที่เป็น “นิวยอร์กเกอร์”ของแท้และดั่งเดิม
พรรครีพับลิกันป์ของทรัมป์พ่ายแพ้ยับเยิน
ผู้ชนะได้เป็น นายกเทศมนตรีนิวยอร์กคนใหม่ เป็นชายหนุ่มวัยเพียง 35 ปี คือนายแมนดานี่ เป็นชาติพันธุ์อินเดียน รากเหง้ามาจากผู้อพยพ ที่ ทรัมป์ ต่อต้าน อะไรไม่ว่า นายแมมดานี่ เป็นมุสลิมที่ฝ่าความรู้สึกนิวยอร์คเกอร์ที่ยังคงจำเหตุการณ์ไนน์วันวันได้อย่างไร
คู่แข่งของ นายแมมดานี่ เด็กหนุ่มมุสลิมวัยเพียง 35 ปีคนนี้ คือ นายคูโม่ อดีตนายกเทศมนตรีนิวยอร์กสายเลือดอิตาเลียน ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ มั่นใจในฐานคะแนนเสียง ไม่เพียงแต่เป็นบ้านใหญ่เท่านั้น นิวยอร์คคือเมืองหลวงมาเฟียอเมริกาอีกต่างหาก
แค่ เด็กหนุ่มแมมดานี่ ประกาศหาเสียงว่า ทรัมป์จะมารังแกรังควานคนนิวยอร์คไม่ได้ ตนพร้อมจะรับมือกับทรัมป์ และที่ชนะใจนิวยอร์กเกอร์ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น ด้วยป้ายไม่เอาราชาธิปไตย หมายถึง ทรัมป์
ชนะนอกบ้าน.....กลับไปพ่ายแพ้บ้านตัวเอง







