ตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร กล่าวได้ว่าทุกรอยพระบาทที่ทรงย่างก้าวไปในทุกภูมิภาคของประเทศ ได้ช่วยนำความอยู่ดีมีสุขให้แก่อาณาประชาราษฎร์ โดยมีโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาและเป็นศูนย์รวมสรรพวิชาด้านต่าง ๆ ทั้ง ดิน น้ำ ป่า การพัฒนาการเกษตร ฯลฯ เพื่อให้ราษฎรได้นำไปใช้ประโยชน์สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
“ดิน” รากฐานของชีวิต เป็นแหล่งให้กำเนิดพืชผล อาหาร และความมั่นคงทางเกษตรกรรมของชาติ สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเกษตรกรรม ดินจึงเป็นทรัพยากรที่มีค่า พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงให้ความสำคัญกับปัญหาดินในแต่ละพื้นที่ และเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบแก้ไขอย่างจริงจัง เพราะมิใช่แค่ “พื้นดินแตกระแหง” หากแต่เป็น “ความทุกข์ยากของราษฎร” ที่ต้องพึ่งพาผืนดินในการสร้างสัมมาอาชีพ
ในหลายภูมิภาคของประเทศ ดินที่เคยเสื่อมโทรมทั้งจากธรรมชาติและการใช้ประโยชน์ที่ผิดวิธีส่งผลให้เกิดเป็นดินเปรี้ยว ดินเค็ม ดินทรายจัด หรือดินที่ขาดแร่ธาตุ จนพืชผลไม่สามารถเติบโตได้ ทรงศึกษาปัญหาดินเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง และทรงเริ่มต้นฟื้นฟูดินให้กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง โดยทรงรวบรวมปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาดินอย่างเป็นระบบ แม้ในยุคที่เทคโนโลยีการสื่อสารยังไม่เจริญก้าวหน้า พระองค์ทรงใช้ “เครื่องโทรสาร” พระราชทานเอกสารดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ หรือสำนักงาน กปร. รับไปประสานการดำเนินงานต่อไป
“พระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาดินของพระองค์ ไม่ได้เป็นเพียง การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังเป็นการวางระบบฟื้นฟูดินอย่างยั่งยืน เพื่อยกระดับชีวิตของประชาชน ฟื้นฟูรักษาสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ รวมถึงสร้างความมั่นคงทางอาหารของชาติ”
นางสุพร ตรีนรินทร์ เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) กล่าวและเปิดเผยว่า แนวพระราชดำริในการแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูดินได้รับการถ่ายทอดผ่านศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ทั้ง 6 แห่ง โดยแต่ละแห่งจะเป็น “ต้นแบบการแก้ปัญหาดินเฉพาะที่” ที่แตกต่างกันไปตามลักษณะของภูมิประเทศ เช่น ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดฉะเชิงเทรา พัฒนาดินทรายที่มีธาตุอาหารน้อย ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่ ฟื้นฟูพื้นที่ดินหินกรวดในสภาพแห้งแล้ง ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส แก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวจัด ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี แก้ปัญหาดินทรายและดินดาน ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสกลนคร พัฒนาและปรับปรุงดินทราย ดินเค็ม และพื้นที่ขาดน้ำ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดจันทบุรี แก้ปัญหาดินเค็มในพื้นที่ชายฝั่งทะเล
รวมทั้งโครงการพระราชดำริที่มีการขยายผล เช่น โครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้มอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดราชบุรี ซึ่งเน้นการพัฒนาในพื้นที่ดินแข็งและหินลูกรัง โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณวัดมงคลชัยพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสระบุรี ที่แก้ปัญหาดินขาดน้ำ และโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อแก้ปัญหาดินเค็ม ดินเปรี้ยวจัด ในพื้นที่ลุ่มน้ำชายฝั่ง เป็นต้น
“หนึ่งในนวัตกรรมสำคัญของพระองค์ คือ “โครงการแกล้งดิน” ที่ช่วยฟื้นฟูดินเปรี้ยวให้กลับมาเพาะปลูกได้อีกครั้ง เป็นผลงานที่สะท้อนพระอัจฉริยภาพในการผสมผสานวิทยาศาสตร์กับภูมิปัญญาไทย จนได้รับการยอมรับในระดับสากล”นางสุพร ตรีนรินทร์ เลขาธิการ กปร. กล่าว
ผลสำเร็จของ “โครงการแกล้งดิน” นวัตกรรมที่ช่วยฟื้นฟูดินเปรี้ยวให้กลับมาเพาะปลูกได้อีกครั้ง เป็นผลงานที่สะท้อนพระอัจฉริยภาพในการผสมผสานวิทยาศาสตร์กับภูมิปัญญาไทย ซึ่งต่อมาได้รับจดสิทธิบัตรการประดิษฐ์อย่างเป็นทางการ และถือเป็นแบบอย่างของการจัดการทรัพยากรดินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยองค์การสหประชาชาติ (UN) มีมติประกาศให้ วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปีเป็น “วันดินโลก (World Soil Day)” เพื่อเทิดพระเกียรติพระองค์ในฐานะ “พระบิดาแห่งการจัดการทรัพยากรดินของโลก”
นางสุพร ตรีนรินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงให้ความสำคัญกับ “ดิน” อันเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญเช่นเดียวกับ “น้ำ” พระองค์ทรงเริ่มโครงการจัดพัฒนาที่ดินตามพระราชประสงค์หุบกะพง จังหวัดเพชรบุรี เพื่อพลิกฟื้นผืนดินที่แห้งแล้งให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ สามารถเพาะปลูกทำการเกษตรได้ และทุกโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำรินั้น เปรียบเสมือน “ห้องเรียนกลางธรรมชาติ” ที่บ่มเพาะความรู้จากศาสตร์ที่หลากหลาย ทั้งด้านดิน น้ำ ป่า และเกษตรกรรม เพื่อให้ราษฎรได้เรียนรู้ เข้าใจ และลงมือทำได้จริง อันเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งในมิติของสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต
ผลสำเร็จจากการพัฒนาตามแนวพระราชดำริ เป็นที่ชื่นชมชมยกย่องจากทั่วประเทศจนได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลด้านต่าง ๆ มากมาย หากแต่รางวัลที่ส่งทรงมุ่งหวังนั้นปรากฏชัดในพระปฐมบรมราชโองการที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ซึ่งพระองค์ทรงปฏิบัติสมดั่งที่ทรงตั้งพระราชปณิธานแล้วทุกประการ
#สำนักงานกปร.







