โครงการพัฒนาป่าชุมชนบ้านหนองกลางดง วัดเขาถ้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้รับการยกย่องเป็น แหล่งเรียนรู้เชิงนิเวศต้นแบบ ด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้ ที่ประสบความสำเร็จจากการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแท้จริง
พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี ประธานอนุกรรมการติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่ภาคกลาง พร้อมด้วย นายวัชระ หัศภาค ที่ปรึกษาด้านการพัฒนา สำนักงาน กปร. และคณะอนุกรรมการฯ ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานโครงการพัฒนาป่าชุมชนบ้านหนองกลางดง วัดเขาถ้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลศิลาลอย อำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยองคมนตรีได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ป่าไม้ในพื้นที่ซึ่งมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตที่ของชุมชนและระบบนิเวศในพื้นที่
นายโชคชัย ลิ้มประดิษฐ์ อดีตผู้ใหญ่บ้าน บ้านหนองกลางดง ตำบลศิลาลอย อำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผู้ร่วมถวายฎีกาขอพระราชทานความช่วยเหลือ เปิดเผยถึงภูมิหลังของโครงการว่า ในอดีตพื้นที่ป่ามีสภาพเสื่อมโทรมอย่างหนัก เป็นภูเขาหัวโล้นจากการทำสัมปทานเหมืองแร่และการลักลอบขุดแร่ ตลอดจนการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งนอกจากจะทำลายระบบนิเวศแล้ว ยังส่งผลให้ชาวบ้านมีปัญหาสุขภาพจากสารโลหะหนักอีกด้วย
“เราทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าการมีป่าไม้ที่สมบูรณ์ในพื้นที่จะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ จึงร่วมกันขอพระราชทานความช่วยเหลือจากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งพระองค์ทรงมีพระกรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ รับไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2559 โครงการฯ มุ่งเน้นการ อนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาพื้นที่ป่า ควบคู่ไปกับการสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนร่วมดูแลทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณครั้งนี้ได้ส่งผลให้ผืนป่ากลับคืนสู่ความอุดมสมบูรณ์ เพิ่มพื้นที่ป่าไม้ แก้ไขปัญหาการบุกรุกป่าในพื้นที่ และส่งเสริมให้คน ป่าไม้ และสัตว์ป่าอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว” นายโชคชัย ลิ้มประดิษฐ์ กล่าว
จากการดำเนินงานที่ผ่านมา ประชาชนในพื้นที่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของป่าไม้ จึงได้ร่วมแรงร่วมใจในการปลูกป่าในพื้นที่ มีการร่วมกันดูแลรักษาป่า จัดทำแนวกันไฟ พร้อมทั้งจัดตั้งชุดเฝ้าระวังป้องกันไฟป่าและออกลาดตระเวนตรวจพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 10 ครั้งต่อเดือน ทำให้ปัจจุบันมี สัตว์ป่าหายาก เข้ามาอยู่อาศัยและหากินเพิ่มจำนวนมากขึ้นนอกจากนี้ ความสมบูรณ์ของป่าไม้ยังส่งผลดีต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชน โดยช่วยให้ความแห้งแล้งหมดไป มีความชื้นเอื้อต่อการเจริญเติบโตของพืชเศรษฐกิจ ทำให้ผลผลิตดีขึ้น ประชาชนมี อาชีพและรายได้เพิ่มขึ้น พร้อมทั้งได้พัฒนาต่อยอดโครงการในการพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้เชิงนิเวศ และโครงการต้นแบบ ในการดูแลรักษาป่าไม้
ในโอกาสนี้ องคมนตรีและคณะฯ ได้พบปะกับประชาชนผู้รับประโยชน์ พร้อมร่วมปลูกต้นไม้เพื่อสร้างความสมบูรณ์ให้แก่ผืนป่าแห่งนี้อย่างยั่งยืนต่อไป








