รำลึก “วันเหยื่อโลก” สสส. สานพลังเครือข่ายผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน “เปลี่ยนความเสียใจให้เป็นพลัง หยุดสร้างเหยื่อบนถนน” เผยปี 2567 อุบัติเหตุคร่าชีวิต 17,477 คน เฉลี่ยตาย 2 ศพทุกชั่วโมง กลุ่มวัย 15–29 ปีดับสูงถึง 4,292 ราย ศวปถ. ชี้ 3 ปัจจัยเสี่ยงหลัก “เมาแล้วขับ-ขับรถเร็ว-ไม่สวมหมวกนิรภัย” บ.กลางฯ เตือน จยย. 23 ล้านคัน ยังขาด พ.ร.บ. 30-40% ญาติเหยื่อวอนทุกฝ่ายร่วมใช้ถนนอย่างรับผิดชอบ ไม่ต้องสูญเสียคนที่รัก
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 14 พ.ย. 2568 ที่ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต และเครือข่ายพลังผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน จัดกิจกรรมรณรงค์ “เปลี่ยนความเสียใจให้เป็นพลัง หยุดสร้างเหยื่อบนถนน” เนื่องในวันโลกรำลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน ปี 2568 (World Day of Remembrance for Road Traffic Victims) โดยภายในงานได้ยืนสงบนิ่งถวายความอาลัยและรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พร้อมเปิดคลิปวิดีโอ “วันโลกรำลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน ปี 2568”
ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า องค์การสหประชาชาติ (UN) กำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 3 ของเดือน พ.ย. ของทุกปี เป็นวันโลกรำลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน ซึ่งปีนี้กำหนดธีมงานคือ “จดจำ สนับสนุน ลงมือทำ” ซึ่งการสร้างความปลอดภัยทางถนนถือเป็นหนึ่งในพันธกิจหลักของสสส. โดยร่วมกับเครือข่ายเพื่อสร้างกลไกลดพฤติกรรมเสี่ยง เพิ่มพฤติกรรมความปลอดภัย การสร้างสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน โดยมีเป้าหมายการลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนให้เหลือ 12 คนต่อประชากรแสนคน ภายในปี 2570 ตามแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนนฉบับที่ 5 ข้อมูลจากกองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าปี 2567 มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน 17,477 คน โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 15-29 ปี ซึ่งยังกลุ่มเด็กและเยาวชน เสียชีวิตสูงถึง 4,292 คน และยังมีผู้บาดเจ็บ พิการจำนวนมาก
“ทุกๆ 1 ชั่วโมง มีคนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเฉลี่ย 2 คน โดยเป็นอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์กว่า 80% ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่แค่สถิติ แต่คือชีวิต ครอบครัว อนาคตที่ถูกพรากไปอย่างไม่มีวันกลับ การมารวมตัวกันในวันนี้ จึงไม่ใช่เพียงการแสดงความอาลัย แต่เป็นการยืนยันความมุ่งมั่นและเจตนารมณ์ร่วมกันว่า เราไม่อยากให้เกิดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนอีกต่อไป เราจึงต้องร่วมกันป้องกัน ระมัดระวังการใช้รถ รู้และตระหนักถึงความปลอดภัย เปลี่ยนความเสียใจให้เป็นพลัง หยุดสร้างเหยื่อบนถนน ” ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว
นางรัชนี สุภจริยากุล ประธานเครือข่ายพลังผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน กล่าวว่า เครือข่ายฯ ได้ทำสำรวจความคิดเห็น หัวข้อ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ...เพื่อใคร เพื่อส่งเสริมความรับผิดชอบของผู้ใช้รถ และครอบคลุมกรณีเกิดอุบัติเหตุที่ไม่มีประกันภาคสมัครใจ จากกลุ่มตัวอย่าง 1,920 คน ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล อายุ 15-60 ปี จากหลากหลายสาขาอาชีพ พบว่า กลุ่มตัวอย่างได้ทำ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 สูงถึง 89.8% ไม่ทำ พ.ร.บ. 10.2% โดยกลุ่มตัวอย่างเคยประสบอุบัติเหตุทางถนน 51.4% ส่วนใหญ่ 93.5% รู้ว่ารถทุกคันต้องจัดทำ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ และรู้ถึงความสำคัญของการมี พ.ร.บ. คือช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายกรณีเกิดอุบัติเหตุตามกฎหมาย ให้ความคุ้มครองทันทีโดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิด
“สาเหตุที่ไม่ทำพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ คือ 1.ไม่มีเอกสารสำเนารถ ขับรถอยู่แค่ในหมู่บ้านไม่ได้ไปไหนไกลๆ ยังไม่ว่าง รถเก่ากลัวตรวจสภาพไม่ผ่าน ทะเบียนรถขาดหลายปีกลัวเสียค่าปรับ 2.มองว่าราคาแพง ไม่คุ้มครองสินทรัพย์ จะทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ รวมถึงมองว่าไม่จำเป็นแค่ระมัดระวังก็พอแล้ว โดยส่วนใหญ่รู้ว่า พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จะคุ้มครองการบาดเจ็บ ทุพพลภาพ เสียชีวิต ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างเสนอให้การรณรงค์มากขึ้น จัดอบรมเข้าไปในหมู่บ้าน ชุมชน เพิ่มความคุ้มครอง มีช่องทางเข้าถึงที่หลากหลาย อยากให้ลดเบี้ยประกัน และกวดขันจับกุม บังคับใช้กฎหมาย ข้อมูลที่ได้จึงมีส่วนสำคัญมาก เพื่อให้เครือข่ายได้นำมาออกแบบการทำงานรณรงค์สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกันต่อไป” นางรัชนี กล่าว
นายธัชวุฒิ จาดบันดิสถ์ นักวิจัยศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) กล่าวว่า คนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนเฉพาะในปี 2568 มียอดสะสมมากกว่า 12,788 ราย บาดเจ็บสะสม 975,193 ราย สะท้อนว่าการแก้ปัญหาเรื่องนี้ของไทยยังมีข้อจำกัด ทั้งที่มีระบบการจัดการ และวิเคราะห์ข้อมูล จนรู้ว่าความเสี่ยงสำคัญของอุบัติเหตุทางถนนของไทยมี 3 ประเด็น คือ เมาแล้วขับ ขับรถเร็ว และไม่สวมหมวกนิรภัย ดังนั้นสิ่งที่ไทยต้องทบทวนเร่งด่วนคืออุดช่องโหว่ 4 ข้อ คือ 1.กฎหมายหรือนโยบายที่มีปัญหา 2.การกำกับดูแลที่ไม่สมบูรณ์ 3.สภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย 4.พฤติกรรมเสี่ยงที่ไม่ปลอดภัย โดยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เพื่อเข้าใจรากของปัญหา พุ่งเป้าหาผู้รับผิดชอบ ผ่านการสร้างการเป็นเจ้าภาพร่วมแก้ปัญหา ทั้งประชาชน หน่วยงานรัฐ ร่วมกำกับติดตาม แก้ไข เพื่อให้ตัวเลข เจ็บตายจากอุบัติเหตุทางถนนไม่เพิ่มจากปัจจุบัน
นายอนุชาติ แก้วโสด ผู้สูญเสียมารดาจากอุบัติเหตุทางถนน กล่าวว่า ตนเกิดอุบัติเหตุเมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2568 ขณะนั้นแม่ของตนขับรถจักรยานยนต์ไปซื้อที่ตรวจไข้ที่ร้านสะดวกซื้อแถวบ้าน แต่ก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น มีคนอ้างว่าแม่ของตนเปลี่ยนเลนไม่ระวัง จึงถูกรถจักรยานยนต์คันใหญ่ที่ผ่านโค้งมาชน อาการสาหัสเลือดไหลไม่หยุด เลือดออกในสมอง กระดูกซี่โครงหัก กระดูกต้นคอร้าว ร่างกายไม่ตอบสนอง ต่อมาเสียชีวิตในวันที่ 7 ต.ค. รถคันที่เกิดอุบัติเหตุใช้งานเป็นประจำ แต่ช่วงที่เกิดเหตุยังไม่ได้ไปต่อ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ทำให้ต้องจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ เองทั้งหมด ตนขอเตือนคนใช้รถใช้ถนนให้ระมัดระวัง ปฏิบัติตามกฎหมาย สวมหมวกนิรภัย ลดใช้ความเร็วในเขตชุมชน แม้จะเดินทางใกล้ๆ ก็ตาม และอย่าลืมเรื่อง ต่อ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ อย่างน้อยหากเกิดอะไรขึ้นก็ยังพอมีเงินช่วยเหลือจัดงานศพบ้าง
นางสาวศิริพร รัตนทัศนีย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและลูกค้าสัมพันธ์ บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด กล่าวว่า ไทยจดทะเบียนรถจักรยานยนต์จำนวนมาก ปี 2567 จดทะเบียน 21-22 ล้านคัน ส่วนปี 2568 ข้อมูลถึงเดือน ต.ค. มีถึง 23 ล้านคัน สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก ประเด็นการทำประกันภัย แม้จะร่วมมือกันกับกรมการขนส่งทางบกกำหนดให้ต่อ พ.ร.บ.ก่อนต่อภาษี แต่ก็ยังมีรถจักรยานยนต์ที่ไม่ต่อภาษี ไม่มี พ.ร.บ.ประมาณ 30-40% ส่วนใหญ่อยู่ตามชุมชน ไร่นา ส่วนเขตเมืองพบ 20% ทั้งนี้อยากให้ประชาชนไปต่อ พ.ร.บ.เพื่อให้ได้รับการคุ้มครอง ซึ่งอัตราจ่ายต่อปีไม่มาก และล่าสุดบริษัทกลางฯ กำลังพัฒนาแอปพลิเคชันให้สามารถเบิกประกันได้ตามสิทธิ อย่างไม่เกิน 2,000 บาท แล้วโอนเงินเข้าบัญชี เพื่อลดปัญหาในเรื่องของการเดินทางด้วย
“พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ให้การคุ้มครองสูงสุด 500,000 บาท เพื่อเยียวยา ลดความเดือดร้อน ให้กับคนที่ประสบภัยจากรถ หากรถไม่มี พ.ร.บ. นั่นหมายถึงว่าเจ้าของรถเก็บความเสี่ยงไว้เอง ก็ต้องรับผิดชอบตัวเอง ที่สำคัญคือทำให้คนอื่นเดือดร้อน เมื่อไปชนคนอื่น เจ้าของรถควรทำหน้าที่ของตัวเอง สิทธิจะเกิดกับผู้ที่ประสบภัยจากรถคันที่ทำประกันภัยไว้ ดังนั้นขอให้ทำอย่าเสียดายเงินเลย รถจักรยานยนต์แค่ 323 บาทต่อปี ดีกว่าไปซื้อเหล้า บุหรี่” นางสาวศิริพร กล่าว








