ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ/ ทหารประชาธิปไตย ความจริงมีเหตุการณ์บ้านเมืองเกิดขึ้นในวันนี้ (อังคารที่ 27 ส.ค.) เหมือนกันแต่ยังไม่มีจังหวะที่จะเขียน รอให้มันชัดเจนกว่านี้จึงจะวิเคราะห์กันต่อไป แต่เช้าวันนี้ (อังคารที่ 27 ส.ค.) เกิดเหตุการณ์ ซึ่งก็ไม่น่าเกิดเลยถ้าคุยกันรู้เรื่องและไม่มีมิจฉาทิษฐิ นั่นคือข่าวเช้าทางทีวีบางช่องที่รายงานว่ามีนักเรียนจำนวนหนึ่งพร้อมผู้ปกครองและศิษย์เก่าจำนวนมาก พากันแต่งดำมาประท้วงที่หน้าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ถนนประมวญ ซึ่งเป็นถนนเชื่อมต่อระหว่างถนนสีลมกับถนนสาธร ปัญหาที่นำไปสู่การประท้วงก็คือ ทางสภาคริสจักรในประเทศไทย ได้มีคำสั่งย้ายผู้อำนวยการและผู้จัดการให้ออกนอกพื้นที่ไปประจำที่สำนักงานของสภาคริสจักรที่เชียงใหม่ และตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีที่มีการกล่าวหาบุคคลทั้ง 2 ว่า ทำการจ่ายเงินผิดขั้นตอน นอกจากนี้ทางสภาคริสจักรยังทำการปลดอาจารย์ทั้ง 2 ออกจากบอร์ดบริหาร ซึ่งถ้าพิจารณาเพียงเท่านี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะสภาคริสจักรคือองค์กรสูงสุดที่บริหารโบสถ์หลายร้อยแห่ง โรงเรียน 28 แห่ง โรงพยาบาล 7 แห่ง และมหาวิทยาลัยอีก 2 แห่ง ภายใต้เครือข่ายของคริสตจักรนิกายเพรสไบทีเรียน โปรแตสแตนท์ แต่ที่มาที่ไปมันมีอยู่ว่าก่อนมีคำสั่งดังกล่าว ประธานบอร์ด โรงเรียนได้เชิญทั้งผอ.และผู้จัดการไปพูดคุยและขอให้ลาออกเพราะปฏิบัติผิดขั้นตอนในการจ่ายเงิน แต่ท่านทั้งสองขอให้มีการตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงก่อน ขณะเดียวกันก็มีการนำเรื่องของอาจารย์ทั้ง 2 ท่าน มาร้องเรียนขอความเห็นใจจากบรรดาศิษย์เก่า ซึ่งก็ได้มีการจัดตัวแทนไปเจรจากับทางสภาคริสจักร เพื่อขอความเป็นธรรมและโปร่งใส โดยเฉพาะการตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง ขอให้ตั้งคนเป็นกลางที่ไม่เกี่ยวข้องใดๆกับผลประโยชน์ แต่การเจรจากลับมีผลออกมาไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของกลุ่มศิษย์เก่า ซึ่งต่อมาก็ได้ดำเนินการร้องเรียนไปยังกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้ดูแลมูลนิธิสภาคริสจักร เท่านั้นยังไม่พอก็ยังมีการนำเรื่องไปเรียนรัฐมนตรีกระทรวงศึกษา ซึ่งก็รับเรื่องไว้ แต่ทางสภาคริสจักรก็ออกคำสั่งพักงานอาจารย์ทั้ง 2 ท่าน และตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง โดยให้ประธานบอร์ดโรงเรียน ซึ่งเป็นผู้กล่าวหามาเป็นประธานกรรมการสอบและตั้งกรรมการที่จัดโดยประธานสภามาทั้งหมด กลุ่มผู้เรียกร้องขอความเป็นธรรมจึง จัดตั้งกลุ่มขึ้นมาชื่อว่า “save B.C.C” และมีการระดมทุนเพื่อรณรงค์ให้เกิดความเป็นธรรม ขณะที่ทางสภาได้ออกมติใหม่มาให้ย้ายอาจารย์ทั้ง 2 ท่าน ไปเชียงใหม่เพื่อทำการสอบสวน มันก็เลยเกิดเรื่องประท้วงเมื่อเช้าวันอังคารที่ 27 ส.ค.นี้ สำหรับโครงการที่เป็นประเด็นสำคัญ คือ ข้อกล่าวหาการจัดซื้อที่ดินและโรงเรียนบึงกาฬคริสเตียน เป็นเงินเกือบ 70 ล้านบาท และยังมีเรื่องอื่นๆอีก 5-6 เรื่อง แต่เท่าที่เห็นการกล่าวหายังไม่มีประเด็นการทุจริต แต่แจ้งว่าใช้จ่ายเงินผิดขั้นตอน ปัญหาดังกล่าวนี้ถ้าท่านประธานสภาคริสจักร ซึ่งได้ทราบจากบางท่านว่าเป็นคนดี มีความซื่อสัตย์สุจริต มีฐานะทางการเงินดี เพราะมีธุรกิจของตนเอง ที่สำคัญท่านเป็นถึงศาสนาจารย์ ซึ่งต้องเป็นผู้แตกฉานในพระคัมภีร์และทำงานใกล้ชิดพระเจ้า หากท่านจะทำให้มันโปร่งใส และเป็นธรรม เช่น การตั้งคนกลางมาเป็นกรรมการสอบข้อเท็จจริงอันเป็นที่น่าเชื่อถือได้สำหรับสาธารณะ ก็จะเป็นการดีต่อองค์กร สำหรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น หากยังยืดเยื้อต่อไป ประการแรกชื่อเสียงของสภาคริสจักรย่อมจะพลอยด่างพร้อยไปพร้อมๆกับท่านประธานสภา ซึ่งเวลานี้ก็มีการเชื่อมโยงกับพฤติกรรมต่างๆที่ผ่านมา ก็จะมีการเปิดเผยเป็นระยะๆใน social media ประการที่ 2 จะเกิดผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจของนักเรียนครู อาจารย์ และผู้ปกครอง และอาจเกิดผลกระทบต่อโรงเรียนในที่สุด ดังนั้นสภาคริสจักร ควรจะรีบเร่งดำเนินการให้ถูกต้องโปร่งใส และเป็นธรรม ตามที่ได้รับบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้า และบัญญัติไว้ในคัมภีร์ใบเบิล ที่ท่านทั้งหลายซาบซึ้งอยู่แล้ว หากดำเนินการตามขั้นตอนคือตั้งกรรมการที่เป็นกลางเป็นที่ยอมรับ และผลปรากฏว่ามีมูลความผิด ก็ให้ดำเนินการลงโทษ อาจารย์ทั้ง 2 ตามน้ำหนักของโทษ โดยจัดตั้งคณะกรรมการลงโทษทางวินัย ซึ่งแน่นอนก็ต้องเป็นคนกลางที่ได้รับความเชื่อถือ โทษก็มีตั้งแต่ว่ากล่าวตักเตือน พักงาน ให้ออกและไล่ออก หนักเบาตามความผิด หากสรุปได้ว่าทุจริตโดยมีพยานหลักฐานชัดเจน ก็ขอให้ดำเนินคดีอาญาไปเลย อย่าปล่อยเอาไว้เป็นเยี่ยงอย่าง หรือออมชอมกัน เพราะจะเกิดความเสียหายต่อองค์กรเหมือนที่เกิดมาแล้วในอดีต อนึ่งผู้เขียนใคร่ขอเสนอแนะกับองค์กรจัดตั้งคือ save bcc ว่าครั้งนี้น่าจะเป็นโอกาสอันดีที่ท่านสามารถรวบรวมศิษย์เก่าและผู้ปกครอง ที่มีความรู้ความสามารถและฐานะทางสังคมสูงส่ง และมีการระดมทุนกันอย่างกว้างขวางนับเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แต่ไม่อยากให้หยุดอยู่แค่นั้น มันก็เหมือนกับการโยนหินลงไปในบ่อที่มีจอกแหนอยู่เต็ม พอจบแหนก็เต็มอีก ถ้ารักโรงเรียนจริงๆต้องทำต่อไป เพื่อสร้างระบบการบริการโรงเรียนให้มีประสิทธิภาพ และที่สำคัญต้องยกระดับมาตรฐานการศึกษาของโรงเรียนให้สูงขึ้น เพราะเท่าที่เคยเห็นสถิติอันดับของโรงเรียนอยู่ที่ 60 กว่าๆ ทั้งๆที่โรงเรียนแห่งนี้เคยเป็นเลิสทั้งวิชาการและการกีฬาฟุตบอล อนึ่งโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนนี้นับเป็นโรงเรียนเอกชนแห่งแรกของประเทศไทย คือ จัดตั้งมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 โดยคณะหมอสอนศาสนา นายแพทย์บรัดเลย์ จึงมีชื่อเสียงสะสมกันมายาวนาน และสร้างบุคลากรออกไป มีชื่อเสียงและคุณูปการต่อสังคมมากมาย เช่น เป็นองคมนตรี 4 ท่าน เป็นนายกรัฐมนตรีถึง 2 ท่าน และยังมีบทบาทในวงราชการอีกจำนวนมาก นี่เองเป็นเหตุให้มีคนมุ่งมาสมัครเรียนที่โรงเรียนนี้เป็นจำนวนมาก แต่นั่นเป็นการกินบุญเก่า หากไม่สร้างสมบุญใหม่ด้วยการยกระดับมาตรฐานการศึกษา และพัฒนาให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของโลก สุดท้ายก็จะตกอันดับไปเรื่อยๆและอาจต้องปิดตัวไปในที่สุด อย่าไปนึกว่าเป็นไปไม่ได้ ยิ่งที่ดินตรงนั้นเป็นที่หมายตาทางธุรกิจ และถ้าองค์กรที่รับผิดชอบไปมุ่งมั่นแต่กำไร แทนการสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพ มีคุณธรรม ตามเจตนารมณ์ของคณะผู้เผยแพร่ศาสนาที่มาก่อตั้งโรงเรียนแห่งนี้แล้ว มันก็เป็นสิ่งน่าเสียดาย เขียนมาถึงตอนนี้ก็อยากจะเชื่อมโยงไปยังกระทรวงศึกษาธิการว่าโครงการที่ท่านรัฐมนตรีคิดจะจัดตั้งโรงเรียนช้างเผือก คือ การเอาเด็กเก่งมาเรียนในโรงเรียนเดียวกัน อย่าทำเลยครับ มันก็เหมือนการสร้างแบบจำลองโรงเรียนเตรียมอุดม หรือโรงเรียนสาธิตแต่ทำให้เกิดช่องว่างทางการศึกษาและโอกาสในการศึกษาที่คนยากคนจนถูกทิ้งห่างไปมากขึ้นทุกที กระทรวงควรจัดทุนการศึกษาให้นักเรียนช้างเผือกไปเรียนตามโรงเรียนเอกชนหรือโรงเรียนรัฐที่มีคุณภาพสูง หรือพัฒนาการศึกษาก้าวทันโลกโรงเรียนเอกชนที่มีศักยภาพก็ควรจัดทุนการศึกษาให้นักเรียนช้างเผือกได้มีโอกาสมาเรียน จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระและช่วยสร้างบุคลากรที่เด่นทางความรู้คู่คุณธรรม เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ดีกว่าการสร้างโรงเรียนอีลีท