ศาลฎีกา..ตัดสินยืนตามศาลอุทธรณ์ จำคุก นายโจฮันเนส 75 ปี นางมิ่งขวัญ 11 ปี ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุก จำเลยทั้งสอง 50 ปี และ 7 ปี 4 เดือน ในความผิดฐานฟอกเงินมูลค่ากว่า 150 ล้านบาท จากการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดกัญชา 300 ล้านบาท วันนี้ (27 ส.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัว นายโจฮันเนส เพทรุส มาเรีย ฟานลาร์ โฮเวน อายุ 59 ปี ชาวเนเธอร์แลนด์ จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มายังศาลอาญา และนางมิ่งขวัญ ฟาน ลาร์โฮเวน หรือ นางมิ่งขวัญ แก่นอินทร์ อายุ 37 ปี ภรรยาชาวไทย จากทัณฑสถานหญิงกลาง เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 2 สามีภรรยาจำเลยในคดีฟอกเงิน มายังศาลอาญาเช่นกัน เพื่อฟังคำพิพากษาฎีกาคดีฟอกเงิน อ.3423/57 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 3 เป็นโจทก์ฟ้อง นายโจฮันเนส เพทรุส มาเรีย ฟานลาร์ โฮเวน(Johannes Petrus Maria van laarhoven) อายุ 59 ปี ชาวเนเธอร์แลนด์ นางมิ่งขวัญ ฟาน ลาร์โฮเวน หรือนางมิ่งขวัญ แก่นอินทร์ อายุ 37 ปี ภรรยาชาวไทย ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน ซึ่งได้มาจากการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดประเภทกัญชา เหตุเกิดที่ ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี และที่อื่นเกี่ยวพันกัน โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาจำเลยทั้งสอง ตามความผิด ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3, 5, 6, 7 และ 60 ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 ซึ่งจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดีมาโดยตลอด สำหรับคดีนี้ทางตำรวจได้บุกเข้าจับกุมบุคคลทั้งสองได้ที่บ้านพักบนเนื้อที่ 2 ไร่เศษ ในสนามกอล์ฟฟีนิกซ์ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ตรวจยึดทรัพย์สินต่าง ๆ ที่ได้จากการฟอกเงินมูลค่ากว่า 150 ล้านบาท จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นสั่งจำคุก นายโจฮันเนส 103 ปี ส่วน นางมิ่งขวัญจำคุก 18 ปี ลดโทษให้ 1ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้งสอง 68 ปี 8 เดือน และ 12 ปี ตามลำดับ ต่อมาศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้เหลือจำคุก นายโจฮันเนส 75 ปี นางมิ่งขวัญ 11 ปี ลดโทษ 1ใน 3 เหลือจำคุก จำเลยทั้งสอง 50 ปี และ 7 ปี 4 เดือน อย่างไรก็ตามความผิด ฐานฟอกเงินจำคุกได้ไม่เกิน 20 ปี คงจำคุก นายโจฮันเนสไว้ 20 ปี ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ยื่นฎีกาสู้คดี เมื่อถึงเวลาศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีนี้อัยการสูงสุดมีอำนาจฟ้องและฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ข้อเท็จจริงฟังได้ตามชั้นพิจารณาของศาลล่าง แต่มีประเด็นต้องพิจารณาว่าจำเลยร่วมกันกระทำผิด และจำเลยที่ 1 กระทำผิด 28 กระทง หรือไม่เห็นว่า จำเลยมีเจตนาลักลอบโอนเงินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด(กัญชา)จากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยรวม 15 ครั้ง ด้วยวิธีโอนเงินจากเยอรมัน ลักเซมเบิรก สิงคโปร์เข้าธนาคารกสิกรไทยสาขาพัทยาแล้วถอนเงินออกไป 28 ครั้ง เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์กับอสังหาริมทรัพย์เพื่อเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินเพื่อซุกซ่อนปกปิดแหล่งที่มาเป็นการอำพรางการได้มาของเงินจากการค้ายาเสพติด แม้จะมีการถอนเงินออก 28 ครั้ง แต่ก็เป็นเจตนาเดียวกันกับการโอนเงินมา15ครั้งในตอนแรก การทำผิดหาเป็นการโอนเงินมารวม 28 ครั้ง ตามที่โจทก์ยื่นฎีกาไม่ จึงฟังว่าจำเลยผิดฐานโอนเงินมา 15 ครั้ง ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษมานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์