นายอัชชพล ดุสิตนานนท์ นายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ (ASA) เปิดเผยถึงที่มาของการจัดแถลงการณ์เรื่อง "หยุดแผน ทอท. ป่วนสุวรรณภูมิ" ว่า ก่อนหน้านี้สมาคมฯ ได้ร่วมกับ12 องค์กรวิชาชีพ จับมือถกประเด็นการก่อสร้างเทอมินอล 2” (แปะ) ณ ตำแหน่งนอกพิกัดแผนแม่บท โดยได้เปิดเวทีสาธารณะในหัวข้อ “กะเทาะเปลือกสนามบินสุวรรณภูมิ” ในครั้งนั้นผู้นำจาก 12 องค์กรวิชาชีพได้มีมติเป็นเอกฉันท์คัดค้านข้อเสนอของทอท. ซึ่งทางสมาคมฯ ได้สรุปเหตุผลของการคัดค้านและได้นำเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเพื่อระงับโครงการดังกล่าว แต่ปรากฎว่าทางบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ดึงดันที่จะเดินหน้าต่อ ดังนั้นสมาคมสถาปนิกสยามฯ จึงได้จัดแถลงการณ์ "หยุดแผนทอท.ป่วนสุวรรณภูมิ" ขึ้น เพื่อต้องการให้ ทอท. หยุดสร้างความเสียหายให้แก่บ้านเมือง และเรียกร้องให้รัฐบาลพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิตามแผนแม่บทเดิม ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้ว ทั้งนี้ 12 องค์กรวิชาชีพที่ไม่เห็นด้วยกับแผนการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารแห่งที่ 2 ตามข้อเสนอทอท. ได้แก่ สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมสถาปนิกผังเมืองไทย สมาคมนักผังเมืองไทย สมาคมมัณฑนากรแห่งประเทศไทย องค์กรต่อต้านคอรัปชั่น (แห่งประเทศไทย) องค์กรเอกชน คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมืองมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และสถาบันอาศรมศิลป์ สำหรับสาระสำคัญของแถลงการณ์ “หยุดแผนทอท.ป่วนสุวรรณภูมิ” นั้นมีหัวข้อสำคัญ ๆ ดังนี้ 1. ความเดิม ตามที่ ได้มีมติคณะรัฐมนตรี (พ.ศ. 2553) อนุมัติให้ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ดำเนินโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยออกแบบก่อสร้างส่วนขยายอาคารผู้โดยสารหลักด้านทิศตะวันออก ตามแผนแม่บทท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในการขยายสนามบินเพื่อรองรับการเดินทางที่เพิ่มมากขึ้น แต่จนกระทั่งปัจจุบัน ทอท. ยังไม่ได้ดำเนินการ แต่กลับเบี่ยงเบนโดยมีข้อเสนอให้ก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ในตำแหน่งใหม่ปลาย Concourse A นอกพิกัดแผนแม่บทฯ ส่งผลให้เกิดความล่าช้าสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ 2. ความเสียหายของชาติที่เกิดจากการไม่ดำเนินการตามแผน 2.1 ความแออัดที่เพิ่มขึ้น (Congestion) 2.2 ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น (Cost Increase) จากความล่าช้าในการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรณภูมิตามมติ ครม. ที่ ทอท. เสนอเป็นต้นเรื่อง ทำให้สนามบินเกิดความแออัด ไม่สามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นได้ในขณะนี้ และทำให้งบประมาณในการขยายสนามบินเพิ่มขึ้นอย่างมาก อีกทั้งความพยายามเบี่ยงเบนเพื่อก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ในตำแหน่งใหม่ปลาย Concourse A นอกพิกัดแผนแม่บทฯ ที่ ทอท. พยายามจะเสนอรัฐบาลนั้น ใช้งบประมาณที่สูงถึง 42,000 ล้านบาท เพราะพื้นที่อาคารมีขนาดใหญ่และเน้นพื้นที่เชิงพาณิชย์ ขณะที่ประโยชน์ใช้สอยหลักของอาคารจะไม่เกิดประโยชน์ต่อกิจการด้านการเดินทางของผู้โดยสาร การบริหารจัดการจะมีความยุ่งยากเพราะต้องใช้ระบบรถไฟฟ้าไร้คนขับ (APM) ถึง 3 สาย นอกจากนี้ เมื่อพัฒนาพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเต็มศักยภาพแล้วจะทำให้เกิดความแออัดของการจราจรในพื้นที่ของถนนมอเตอร์เวย์ด้านทิศเหนือของสนามบิน 3. ทอท. เบี่ยงเบนให้ก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ในตำแหน่งใหม่ปลาย Concourse A นอกพิกัดแผนแม่บทฯ เป็นการเบี่ยงเบนด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ 3.1 ข้อเท็จจริง 3.1.1 ผลกระทบพื้นที่นอกเขตการบิน (Landside) ส่งผลกระทบให้ผู้ที่จะเดินทางมายังอาคารผู้โดยสาร ต้องใช้ถนนมอเตอร์เวย์ ทำให้การจราจรติดขัดไม่เกิดการกระจายตัวที่ดี 3.1.2 ผลกระทบพื้นที่ในเขตการบิน (Airside) พื้นที่หลังอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ตามข้อเสนอของทอท. คับแคบ ทำให้เครื่องบินวิ่งเข้า-ออกหลุมจอดอย่างยากลำบากและสิ้นเปลืองพลังงานเพราะเนื่องจากอาคารฯอยู่ไกลจากทางวิ่ง (Runway 1st - 3rd) 3.1.3 การบริหารจัดการ (Operation) อาคารผู้โดยสารใหม่ตามแบบทอท.นั้นเปลี่ยนจากหลุมจอดระยะไกล (Remote Gate) 14 หลุม เป็นหลุมจอดประชิดอาคาร (Contact Gate) 14 หลุม ซึ่งไม่สามารถทำหลุมจอดเพิ่มเติมได้ทำให้อาคารไม่สามารถรองรับผู้โดยสารตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ เกิดความยุ่งยากในการเดินทางของผู้โดยสารเพราะเนื่องจากการสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ตามที่ทอท.เสนอนั้นจะต้องก่อสร้างรถไฟฟ้าไร้คนขับ (APM) ถึง 3 สาย เพิ่มความสับสนต่อการเดินทางอีกทั้งยังเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ ทั้งนี้หากทอท.ดำเนินการตามแผนแม่บท ปี 2546 นั้นจะใช้ APM เพียงสายเดียวเท่านั้น มีข้อเท็จจริงว่า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้มีการวางผังแม่บทครั้งแรกในปี พ.ศ 2536 ประกอบด้วย รันเวย์ 4 เส้น, อาคารผู้โดยสารหลัก 2 อาคาร (ด้านทิศเหนือและทิศใต้), อาคารเทียบเครื่องบินรอง 2 อาคาร (Satellite Buildings), อาคารจอดรถ 8 หลัง, รถไฟฟ้าไร้คนขับ (APM) 2 สาย ที่ใช้เชื่อมระหว่างอาคารเทียบเครื่องบินรองกับอาคารผู้โดยสารหลักทั้ง 2 อาคาร ซึ่งขณะนั้นสามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารได้ 100 ล้านคนต่อปี ต่อมาในปี พ.ศ. 2546 ได้มีการปรับปรุงแผนแม่บทโดยปรับรูปแบบของอาคารเทียบเครื่องบินรอง 2 อาคาร (Satellite Buildings) จากกากบาทเป็นเส้นตรงและปรับระบบรถไฟฟ้าไร้คนขับเหลือ 1 สาย อีกทั้งปรับปรุงแบบอาคารผู้โดยสารหลักให้รองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้น ทำให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 120 ล้านคนต่อปี ซึ่งจวบจนปัจจุบันท่าอากาศยานสุวรรณภูมินั้นยังคงพัฒนาตามแผนแม่บทปี พ.ศ. 2546 มาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณออกแบบก่อสร้างส่วนขยายอาคารผู้โดยสารหลัก (Ter-1) ด้านทิศตะวันออกวงเงิน 6,780 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้น 15 ล้านคนต่อปี ทำให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิปัจจุบันจะสามารถรองรับปริมาณผู้โดยสารได้ไม่ต่ำกว่า 60 ล้านคนต่อปี ซึ่ง ทอท. ได้ดำเนินการออกแบบเสร็จเรียบร้อยแล้วแต่ไม่ยอมดำเนินการก่อสร้าง กลับขอเสนอให้สร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ในตำแหน่งใหม่ปลาย Concourse A โดยอ้างเหตุผลว่าการก่อสร้างส่วนต่อขยายนั้นจะมีความยุ่งยากในด้านเทคนิคและดำเนินการได้ยาก ซึ่งองค์กรวิชาชีพด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมได้ให้ความเห็นว่าเป็นการเบี่ยงเบนและแสดงข้อมูลอันเป็นเท็จ เป็นการส่อทุจริต และปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะเพิ่มงบประมาณขึ้นจาก 38,000 ล้านบาท เป็น 42,000 ล้านบาท ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายแก่บ้านเมือง สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในนาม 12 องค์กรวิชาชีพและสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้อง เห็นควรเสนอให้ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี โปรดพิจารณาสั่งการให้กระทรวงคมนาคม เร่งรัดให้ ทอท.ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2553 และแผนแม่บทท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเดิม ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) แสดงความรับผิดชอบที่ดำเนินการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิล่าช้า ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติต่อไป