เมื่อวันที่ 23 ส.ค.นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงความคืบหน้าข้อเสนอให้ขยายเวลาปิดสถานบริการต่างๆในยามค่ำคืน ไปปิดที่เวลา 04.00 น.ว่า สัปดาห์นี้ได้สั่งการให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ไปสุ่มเก็บข้อมูลที่พัทยา ถึงผลกระทบหากมีมาตรการนี้ ทั้งจากผู้ประกอบการ นักท่องเที่ยว และชาวบ้านว่ามีเสียงสะท้อนอย่างไร รวมถึงการคำนวณตัวเลขว่าจะได้เม็ดเงินกลับมาเท่าไหร่ ซึ่งหากได้ตัวเลขที่ชัดเจนแล้วจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ต่อไป โดยอาจเริ่มทำที่จังหวัดนำร่องก่อน เช่น กรุงเทพฯ จ.ภูเก็ต จ.กระบี่ จ.สงขลา เพราะตอนนี้กำลังเข้าช่วงไฮซีซั่น หวังว่าเราจะได้นักท่องเที่ยวตามที่รัฐบาลกำหนดไว้ประมาณ 41 ล้านคน “ต่อให้นักท่องเที่ยวเข้าประเทศเท่าเดิม แต่เราได้รายได้เพิ่มเติมโดยเฉลี่ยอีก 20% จากการขยายเวลาถึงตี 4 ก็เท่ากับเรามีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นหลายล้านคน สำหรับคนที่เป็นห่วง ผมย้ำว่าเราไม่ได้ปูพรมทำทั่วประเทศ แต่จะจัดโซนนิ่งเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวต่างชาติ ตอนนี้กำลังจะหารือผู้ว่าฯ และตำรวจว่าควรเป็นจุดใดที่เจ้าหน้าที่สามารถดูแลได้ 100% ” รมว.ทองเที่ยว กล่าว นายพิพัฒน์ กล่าวภายหลัง ครม. มีมติไม่เห็นชอบกับข้อเสนอปล่อยฟรีวีซ่าให้นักท่องเที่ยวจีนและอินเดียว่า ไม่ใช่ตนจะคิดเองทำเอง แต่ได้หารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม รวมถึง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯด้านเศรษฐกิจ ก็เห็นด้วย เลยเป็นที่มาของการพิจารณาใน ครม.เศรษฐกิจ ซึ่งไม่มีใครคัดค้านทั้งนี้ยืนยันถึงข้อดีของการเปิดรับนักท่องเที่ยวทั้ง 2 ชาติ และมั่นใจในมาตรการความมั่นคงของไทย ส่วนที่มีเสียงสะท้อนจากบางฝ่ายว่าให้เน้นนักท่องเที่ยวคุณภาพ เราเอาอะไรไปวัดว่านักท่องเที่ยวที่ใส่รองเท้าแตะ ลากกระเป๋า จะไม่มีคุณภาพ เพราะเขาอาจใช้จ่ายมากกว่าคนพักโรงแรมห้าดาวก็ได้ อีกทั้ง มาตรการดูแลนักท่องเที่ยวจากโซนยุโรปที่มีกำลังจับจ่ายใช้สอยสูงๆ เราก็มีอยู่แล้ว ข้อเสนอนี้จึงเป็นการลงทุนที่ต่ำที่สุดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ “หลังจากนี้คงจะต้องไปหารือและอธิบายกับรองนายกฯ ด้านความมั่นคงว่าเรามีเจตนาดี และมั่นใจในเรื่องความมั่นคง แนวคิดนี้ถึงเวลาต้องเดินให้สุด ที่ผ่านมาเป็นการติเพื่อก่อมากกว่า เพื่อให้ผมนำกลับไปแก้แล้วกลับมาเสนอใหม่” รมว.การท่องเที่ยวฯ กล่าว