“สมคิด”ฟิตมอบนโยบาย"บีโอไอ"ทำงานเชิงรุกหลังวิกฤติสงครามการค้าเป็นโอกาสของไทยในการดึงการลงทุนที่จ่อย้ายฐานหนีให้เข้ามาไทยแทน พร้อมจัดแพ็คเกจส่งเสริมลงทุน ตั้งทีมเฉพาะกิจเจรจาคาดชงครม.เศรษฐกิจ30ส.ค.นี้คลอดแผน เผยประธานใหญ่หัวเว่ยจ่อบินมาไทยเดือนพ.ย.นี้ ปักหมุดทดสอบ 5 G ในเมืองไทย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเปิดเผยภายหลังการมอบนโยบายและเป้าหมายในการชุกจูงการลงทุนจากต่างประเทศแก่หัวหน้าสำนักงานเศรษฐกิจการลงทุนในต่างประเทศ 16 แห่งของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)ว่า ได้มอบหมายให้บีโอไอใช้โอกาสของภาวะสงครามการค้าโลกที่นักลงทุนกำลังมองการย้ายฐานการผลิตให้เข้ามาลงทุนยังประเทศไทยมากขึ้นด้วยจัดทำมาตรการหรือแพ็คเกจส่งเสริมการลงทุนในการสนับสนุนโดยเมื่อจัดทำแล้วเสร็จ คาดว่าเร็วสุดจะสามารถนำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)เศรษฐกิจเห็นชอบได้ในวันที่ 30 ส.ค.นี้ โดยบีโอไอต้องทำงานเชิงรุกโดยโฟกัสให้ไทยเป็นหน้าด่านที่มาลงทุนแล้วจะสามารถเข้าไปสู่กลุ่มประเทศ CLMV ได้เพราะเราได้วางโครงสร้างพื้นฐานต่างๆรองรับไว้แล้ว โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพื้นที่พิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี)ที่จะเชื่อมกับภูมิภาคของไทยและ CLMV แต่เรายังหยิบยกมาให้เห็นไม่เด่นชัดนัก บีโอไอคงต้องไปดูแคมเปญในการดึงดูดการลงทุนซึ่งแต่ละประเทศจะมีความต้องการแตกต่างกันก็ต้องใช้การหารือและเจรจา ซึ่งคงไม่ใช่มองแค่เรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างเดียว การอำนวยความสะดวกต่างๆต้องรวดเร็ว ด้านสิ่งแวดล้อมก็สำคัญ ทั้งนี้ล่าสุดได้หารือกับผู้บริหารของหัวเว่ย ยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมของจีนซึ่งได้แจ้งว่าประธานใหญ่ของหัวเว่ยจะเดินทางมาไทยในเดือนพ.ย.นี้ ซึ่งจะเป็นบริษัทแรกๆที่จะปักหมุดการทดสอบ 5 G ในไทย ซึ่งไทยมีแผนที่จะส่งเสริมให้เกิดระบบ 5G ในปี 2563 ดังนั้นหัวเว่ยจึงขอให้ช่วยเร่งศึกษาเรื่องต่างๆรองรับให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ โดย Eco System สำหรับ 5G ต้องมองเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน และบุคคลากร ซึ่งหัวเหว่ยกำลังร่วมกับมหาวิทยาลัยในการพัฒนาบุคลากร ซึ่งจะปักหมุดในอีอีซี จึงได้เสนอว่าไทยมีโครงการไทยแลนด์ไซเบอร์พอร์ตหากสนใจมาอยู่บริเวณเดียวกันและร่วมเป็นพี่เลี้ยงก็ยินดีในการจะสร้างสตาร์ทอัพร่วมกัน นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายสมคิดได้มอบให้ กนอ.เร่งดึงการลงทุนที่ขณะมีแนวโน้มจะมีการย้ายฐานการผลิต เนื่องจากผลกระทบจากสงครามการค้าด้วยการจัดทำแพ็คเกจส่งเสริมการลงทุนเพื่อเป็นเครื่องมือในการดึงการลงทุนเข้ามายังไทยและจัดตั้งทีมงานเฉพาะกิจในการทำหน้าที่ดังกล่าวขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อเสนอ ครม.เศรษฐกิจเห็นชอบเร็วสุดในวันที่ 30 ส.ค.นี้ “สงครามการค้าที่เกิดขึ้นไม่เพียงสหรัฐฯและจีน แต่ยังมีอีกหลายประเทศและทำให้เกิดการย้ายฐานไปประเทศอื่นและไทยเป็นหนึ่งในนั้นที่นายสมคิดมองว่า ควรใช้โอกาสนี้ ซึ่งถือว่าจะเกิดขึ้นสักครั้งในรอบ 30 ปี และให้ใช้กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันหมื่นล้านบาทมาช่วยเสริมในการดึงการลงทุนด้วย” น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอกล่าวว่า บีโอไอจะดำเนินการจัดทำ 4 ด้าน 1. การจัดแพคเกจมาสนับสนุนดึงการลงทุนเพิ่มขึ้น 2.การจัดทีมงานเฉพาะกิจเพื่อดึงดูดการลงทุนที่กำลังคิดจะย้ายฐานการผลิต 3. กิจการทางการตลาด 4.ลดขั้นตอนการอนุมัติและอนุญาต โดยแพ็คเกจส่งเสริมที่จะจัดทำงานครั้งนี้จะเอื้อในการดึงการลงทุนเข้าอีอีซีเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามแนวโน้มการย้ายฐานการลงทุนรายใหญ่ที่บีโอไอมีรายชื่ออยู่ในแผนเบื้องต้นที่จะดึงการลงทุนมีประมาณ 100 บริษัทส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนจากจีน