แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น บริษัทพัฒนาและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ แบบไลฟ์สไตล์ครบวงจร ในประเทศไทย เจ้าของโครงการชั้นนำ อาทิ เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ อาคารสำนักงานเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ฯลฯ เผย 3 กลยุทธ์หลักของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ผ่านการสร้างสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวทั่วโลก (Global Demand) และสร้างสมดุลโครงการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนในบริเวณโดยรอบโครงการ (Local Catchment) ริเริ่มโครงการคอนเซ็ปต์ใหม่ รวมทั้งการบริหารผู้เช่าอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อผลักดันการเติบโตรับแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาวและการขยายตัวของเมืองใหญ่ นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) (AWC) เปิดเผยว่า กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial Building) ของ แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น ประกอบด้วย 2 กลุ่มใหญ่ คือ อสังหาริมทรัพย์ เพื่อประกอบกิจการการค้า (Retail and Wholesale)และอาคารสำนักงาน (Office) ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ ที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแต่ละโครงการมีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ มีแนวคิด รูปแบบ และการสร้างแบรนด์ของโครงการที่แตกต่างกันออกไปเพื่อให้สอดคล้อง เข้าถึงรสนิยมความชื่นชอบ และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ซึ่งเพิ่มศักยภาพและสามารถนำเสนอมูลค่าได้อย่างที่ชัดเจน “ในปี 2561 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาเยือนประเทศไทยมีสูงเป็นอันดับที่ 1 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงที่จำนวน 38.3 ล้านคน อีกทั้งยังได้รับแรงหนุนจากอัตราการใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวต่างชาติต่อคนต่อวันในประเทศไทยที่สูงถึง 5,684 บาท รวมทั้งการค้าเพื่อการพาณิชย์ ทั้งการค้าปลีกและค้าส่ง เป็นภาคธุรกิจที่สำคัญ คิดเป็นร้อยละ 15.8 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และมีมูลค่าสูงเป็นอันดับสองรองจากภาคการผลิต ประกอบกับการขยายตัวของเมืองยังคงมีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง โดยที่องค์การสหประชาชาติได้ประมาณการว่าอัตราการอยู่อาศัยในเมือง (Urbanization Rate) จะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 49.9 ในปัจจุบันเป็นร้อยละ 58.4 ในปี 2573 และร้อยละ 69.5 ในปี 2593 และอัตราพื้นที่ว่างของอาคารสำนักงานในช่วงสิ้นปี 2561 อยู่ที่ร้อยละ 6.2 แนวโน้มเหล่านี้สะท้อนให้เห็นโอกาสในการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการประกอบกิจการการค้าและอาคารสำนักงาน(Retail&Commercial Building) ได้เป็นอย่างดี” นางวัลลภากล่าว เพื่อสร้างโอกาสกับแนวโน้มดังกล่าว AWC ได้วางกลยุทธ์ที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาและขยายตัวของธุรกิจ ไว้ 3 ด้าน ได้แก่ การตอบรับความต้องการทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและผู้คนในบริเวณโดยรอบโครงการ ภายใต้ Barbell Strategy ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลระหว่างโครงการหลากหลายประเภท เพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน อาทิ โครงการ เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ บนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเน้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ได้แก่นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ โครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้าที่เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในชุมชนหรือบริเวณที่มีความหนาแน่นของโครงการที่อยู่อาศัยสูง รวมถึงอยู่ใกล้ศูนย์กลางการขนส่ง เช่น โครงการเกทเวย์ แอท บางซื่อ ซึ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้พักอาศัยที่อยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตร ซึ่งมีคอนเซ็ปต์ในการตอบโจทย์การสร้างประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ ด้วยพื้นที่ F&B and Attractions ที่มากกว่า 50% ของโครงการ ด้วยการเน้น Food Fun Family หรือกลุ่มครอบครัว นักศึกษา คนวัยทำงาน กลยุทธ์ที่ 2 คือ การวางคอนเซ็ปต์โครงการที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ AWC สามารถเปิดโครงการใหม่ เพื่อสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ยังไม่มีโครงการในตลาดที่ตอบโจทย์ อาทิ โครงการเอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ ซึ่งเป็นโครงการแรกที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์บนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ที่รวบรวมทั้งร้านค้า และบริการที่จะสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้มาเยือน ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเฉลี่ยถึง 50,000 คนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์โดยในอนาคตเรายังมองถึงการประสานศักยภาพภายในบริษัทฯ ด้วยการมุ่งไปที่โอกาสการพัฒนาโครงการประเภทมิกซ์ยูส ที่รวบรวมทั้งพื้นที่เพื่อการค้าและโรงแรม​ จากการเป็นเจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่หลากหลายอีกด้วย และกลยุทธ์ที่ 3 คือ การบริหารจัดการโครงการและผู้เช่าอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ AWC สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น มีกระแสเงินสดที่เติบโตอย่างมั่นคง พร้อมทั้งสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของลูกค้า และนักช้อป สำหรับโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้า และบริษัทที่เช่าพื้นที่สำนักงานและลูกค้าทั่วไปสำหรับโครงการอาคารสำนักงาน โดยการคัดเลือกผู้ประกอบการที่มีความหลากหลาย และให้บริการหรือสินค้าที่เติมเต็มความต้องการได้อย่างดี ตลอดจนการให้บริการที่ดีแก่ผู้เช่าพื้นที่เพื่อประกอบธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัย ความสะดวกสบาย หรือการสนองความต้องการที่หลากหลาย ตัวอย่างเช่น การคัดสรรพันธมิตรทางธุรกิจ เช่น ฟิตเนสคลับ ร้านอาหาร ร้านกาแฟco-working space ภายในอาคารสำนักงานอย่างอาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ซึ่งมีการพัฒนาอาคารด้วย Smart Building แอพพลิเคชั่นพิเศษที่ให้ความสะดวกแก่ผู้เช่าพื้นที่ เช่น การหาที่จอดรถ การสั่งอาหาร เป็นต้น นอกจากนี้ AWC ยังให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ที่ชัดเจน เช่น โครงการเกทเวย์ แอท บางซื่อ ซึ่งเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ที่สร้างขึ้นจากแนวคิด “การชอปปิงแบบวันสต๊อป (One-stop Shopping)” ที่ครบวงจร สำหรับตอบสนองความต้องการในชีวิตประจำวันของคนในพื้นที่ ในขณะที่โครงการตะวันนา บางกะปิ จะเป็นคอมมูนิตี้มาร์เก็ตที่มีพื้นที่ทั้งภายในและภายนอกอาคาร มีร้านค้าและบริการที่ตอบสนองการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต อาหาร และร้านค้าทั่วไป เป็นต้น รวมทั้งเป็นพื้นที่พบปะสังสรรค์ในหมู่เพื่อน “จุดแข็งที่ทำให้กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ของเรามีการเติบโตอย่างต่อเนื่องที่สำคัญคือ การที่เรามีโครงการที่หลากหลายประเภท และกว่าร้อยละ 90 เป็นโครงการที่เราเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ที่ดินเอง การมีทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ความสามารถในการใช้ประโยชน์จากบริษัท ในเครือ เช่น การบริหารต้นทุน และการพัฒนาโครงการต่างๆ ฯลฯ และการพัฒนาให้แต่ละโครงการ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว” นางวัลลภากล่าว มร.ลิม วี ชาน หัวหน้าคณะกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ กล่าวเสริมว่า “จากการวางตำแหน่งทางธุรกิจที่ชัดเจนของแต่ละโครงการ และการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่องทำให้กลุ่มธุรกิจนี้มีความแข็งแกร่ง และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีรายได้ 4,000 ล้านบาทในปี 2561 และมี EBITDA เท่ากับ 2,437 ล้านบาท หรือคิดเป็น อัตรา EBITDA เท่ากับร้อยละ 48 สำหรับปีบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 กลุ่ม Retail and Wholesale มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิ (NLA) เพิ่มขึ้นอย่างมาก จาก 122,130 ตารางเมตรในปี 2560 เป็น 198,781 ตารางเมตรในเดือนมีนาคม 2562 จากโครงการที่เปิดดำเนินการแล้ว 9 แห่ง ได้แก่ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์, เกทเวย์ แอท บางซื่อ,พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า ประตูน้ำ, พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า​ งามวงศ์วาน, พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า เชียงใหม่, ลาซาล อเวนิว, ตะวันนา บางกะปิ, โอ.พี.เพลส แบงค็อก และเกทเวย์ เอกมัย ซึ่งเป็นโครงการภายใต้สัญญาบริหารโครงการ และบันทึกข้อตกลงปี 2562 เพื่อการ เข้าลงทุนในโครงการดังกล่าว (โดยมีพื้นที่เช่าสุทธิ 33,153 ตารางเมตร) และมีโครงการที่กำลังพัฒนาอยู่อีก 2 แห่ง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562 ส่วนกลุ่มอาคารสำนักงานมีทั้งสิ้น 4 โครงการรวมพื้นที่เช่า (NLA) 270,594 ตารางเมตร ได้แก่ อาคาร เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานแบบมิกซ์ยูส (Mixed-Use) เกรด A ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ เมื่อพิจารณาจากพื้นที่เช่าสุทธิ โดยมีพื้นที่มากที่สุดถึง 158,021 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสช่องนนทรี ประกอบด้วยกลุ่มอาคาร 3 อาคาร สูง 58 ชั้น แอทธินี ทาวเวอร์ ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานระดับ A+ มีการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวสูงมาก และสามารถเชื่อมต่อไปยัง The Athenee Hotel, A Luxury Collection Hotel, Bangkok ได้ อาคาร 208 วายเลสโร้ด ทาวเวอร์ และอาคารอินเตอร์ลิ้งค์ทาวเวอร์ โดยภาพรวมแล้วอาคารสำนักงานทั้ง 4 โครงการของ AWC มีอัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) ในระดับสูง เช่น อาคาร 208 วายเลสโร้ด มีอัตราการเช่าพื้นที่อยู่ที่ ร้อยละ 92 และแอทธินี ทาวเวอร์มีอัตราการเช่าพื้นที่สูงถึงร้อยละ 94 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562 “สำหรับในอนาคต เราจะยังคงพัฒนาโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และสอดคล้องกับความต้องการ ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัลในการวิเคราะห์ข้อมูล การสร้างช่องทางใหม่ๆ ในการทำธุรกิจและสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภค นอกจากนี้ เรายังจะเสริมความแข็งแกร่งจากข้อได้เปรียบจากการ มีโครงการหลากหลายประเภท ซึ่งจะทำให้ AWC รักษาความเป็นผู้นำในตลาด และบรรลุวิสัยทัศน์ที่จะเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่ชื่นชมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม” มร.ลิม วี ชาน กล่าว