“สุริยะ”รุดตรวจเยี่ยม”กนอ.”เร่งรัดการดำเนินงานให้ชัดเจนภายใน 100 วันตามนโยบายที่กำหนดไว้เพื่อเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจท่ามกลางปัจจัยเสี่ยง ทั้งโครงการท่าเรือฯมาบตาพุด ระยะที่ 3 (ช่วงที่1) ที่คาดว่าจะลงนามกับเอกชนได้ในเดือน ก.ย. นี้ นิคมฯสมาร์ทปาร์ค รองรับอุตฯ 4.0 จ่อเสนอครม.ตามกำหนด 100 วัน เร่งการพัฒนา SEZ การหาพื้นที่ในนิคมฯรับลงทุนเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า หลังจากที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 62 ได้กำหนดเป้าหมายที่จะจัดทำแผนงานเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานต่างๆของกระทรวงอุตสาหกรรมให้ชัดเจนภายใน 100 วันในการผลักดันเศรษฐกิจท่ามกลางภาวะแรงกดดันจากสงครามการค้า ดังนั้นการมาตรวจเยี่ยมการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ก็เพื่อติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานต่างๆให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่ง กนอ. ได้รายงานถึงโครงการหลักๆที่จะดำเนินการให้ได้ภายใน 100 วันที่สำคัญได้แก่ โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 ช่วงที่ 1 ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่จะมีการนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติร่างสัญญาร่วมลงทุนโดยเร็ว และคาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญาร่วมทุนกับกลุ่มกิจการร่วมค้ากัลฟ์ และพีทีที แทงค์ ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นผู้ร่วมลงทุนโครงการภายในกันยายนนี้ ทั้งนี้การพัฒนาโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดเฟส 3 (ช่วงที่ 1) ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง บนพื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่ โดยแบ่งการพัฒนาเป็น 2 ช่วง โดยในช่วงที่ 1 เป็นการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ประกอบด้วย การขุดลอกร่องนํ้า และแอ่งกลับเรือ การก่อสร้างเขื่อนกันคลื่น การก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานการติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมการเดินเรือ ท่าเทียบเรือบริการ และคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปี 2568 สำหรับการพัฒนาท่าเรือฯมาบตาพุดระยะที่3 ในช่วงที่ 2 จะเป็นการลงทุนพัฒนาก่อสร้างในส่วนของท่าเรือ (Superstructure) จะดำเนินการพัฒนาท่าเทียบเรือสินค้าเหลว รองรับปริมาณขนถ่ายสินค้าเหลว เพื่อรองรับการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และสินค้าเหลวสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในในปี 2566 และเปิดให้บริการได้ภายในปี 2568 และคาดว่าจะเสนอผลการคัดเลือกและผลการพิจารณาสัญญาต่อ ครม. เพื่อให้ความเห็นชอบก่อนลงนามในสัญญาร่วมลงทุนฯ ภายในเดือน กันยายน 2562 ต่อไป ขณะที่โครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค (Smart Park) ซึ่ง กนอ.กำหนดให้เป็นนิคมอุตสาหกรรม 4.0 ขนาดพื้นที่ 1,500 ไร่ ซึ่งจะเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่รองรับการลงทุนในธุรกิจอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-curve)อาทิ หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม (ROBOTICS) อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ (AVIATION AND LOGISTICS) อุตสาหกรรมดิจิทัล (DIGITAL)อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (BIOFUELS AND BIOCHEMICALS) และ อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร (MEDICAL HUB) โดยรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA)ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) เรียบร้อยแล้ว และในขั้นตอนต่อไปจะเสนอต่อ ครม. พิจารณาอนุมัติได้ภายในเดือนกันยายน และคาดว่าจะสามารถก่อสร้างโครงการดังกล่าวได้เป็นไปตามแผนงานภายในปี 2563 และเปิดให้บริการรองรับการลงทุนได้ประมาณปี 2566 ในลำดับต่อไป นอกจากนั้นยังได้มอบหมายให้ กนอ.ไปพิจารณาเร่งรัดการจัดหาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในการรองรับการลงทุนของธุรกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) และผู้ประกอบการใหม่ (สตาร์ทอัพ) ตามแนวนโยบายที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีได้สั่งการไว้เมื่อครั้งเดินทางมาเยี่ยมกระทรวงอุตสาหกรรมเมื่อวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น กนอ. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลนิคมฯและมีการพัฒนานิคมฯของ กนอ. และร่วมดำเนินการกับเอกชนจำเป็นต้องดูแลเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพให้มีพื้นที่ลงทุนเพราะธุรกิจเหล่านี้คือหัวใจสำคัญในการเป็นฐานรากการพัฒนาระบบเศรษฐกิจไทย “เอสเอ็มอีถือว่าเป็นภาคการผลิตที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ เราจึงไม่ควรมองข้าม บทบาทของ กนอ.เองต้องเข้ามาดู ในส่วนนี้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจะทำอย่างไรในการเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในการร่วมส่งเสริมให้เกิดผู้ประกอบการใหม่หรือสตาร์ทอัพ โดย กนอ.เองได้จัดตั้งศูนย์ SMEs Industry Transformation Center หรือ ศูนย์ SMEs–ITC ในนิคมฯต่างๆ ทั่วประเทศแล้ว ซึ่งถือเป็นการช่วยส่งเสริมเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพให้สามารถต่อยอดทางธุรกิจและเกิดการพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่อุตสาหกรรม 4.0 ขณะเดียวกันในด้านรูปแบบการทำงานต้องปรับแนวคิดโดยใช้ประโยชน์จากระบบข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data System) กลไกสำคัญในการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดการค้า การลงทุน และการผลิตในประเทศได้ในอนาคต”นายสุริยะกล่าว ทั้งนี้การพัฒนาพื้นที่ของ กนอ.จะต้องมองการเชื่อมโยงกับการเกษตรเพื่อนำไปสู่อุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน หรือการทำเศรษฐกิจชีวภาพ (ไบโออีโคโนมี่) รวมทั้งให้ กนอ.มีการทำงานแบบ บูรณาการเชื่อมโยงกันระหว่างหน่วยงานต่างๆในแต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้องทั้งสถาบันศึกษา สถาบันการเงิน และสถาบันวิจัยในการเข้าไปส่งเสริมและสนับสนุนกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ อีกทั้งยังได้มอบให้ กนอ.เชื่อมโยงการพัฒนาเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพในอีอีซีที่จะเชื่อมโยงกับโครงการไซเบอร์พอร์ตไทยแลนด์ (Cyberport Thailand) ที่ได้ร่วมลงนามกับฮ่องกงไซเบอร์พอร์ต ซึ่งเป็นศูนย์รวมสตาร์ทอัพของฮ่องกง เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนากลุ่มสตาร์ทอัพไทยให้มีศักยภาพด้วยระบบการบริการดิจิทัลที่ทันสมัย ซึ่งจะส่งผลดีทำให้เอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพมีความเข้มแข็งและพร้อมที่จะก้าวไปสู่การแข่งขันในตลาดขนาดใหญ่ได้ในอนาคต นายสุริยะ กล่าวต่ออีกว่า รัฐบาลยังมีนโยบายที่จะกระจายความเจริญไปสู่ทั่วทุกภูมิภาคของไทย เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจการค้าการลงทุนและระบบโลจิสติกส์ไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่สำคัญ โดย กนอ.ได้จัดตั้งนิคมฯสระแก้ว ภายใต้แนวคิดในการออกแบบพัฒนาตามแนวคิดอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Industrial Estate) โดยเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะและปัญหาสิ่งแวดล้อมในลักษณะอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) รวมทั้งรองรับธุรกิจเอสเอ็มอี และสตาร์ทอัพ บนเนื้อที่รวม 660 ไร่ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจตลาดชายแดน (ตลาดโรงเกลือ) และสิทธิประโยชน์ตามนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่พร้อมรองรับและสนับสนุนการทำธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันได้เปิดให้บริการนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศอย่างเต็มพื้นที่แล้ว ซึ่ง กนอ.ได้รายงานว่าจะดำเนินการจัดพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนเข้ามาลงทุนในนิคมฯสระแก้วได้ประมาณตุลาคมนี้ ส่วนการพัฒนานิคมฯ สงขลา ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา ขณะนี้อยู่ระหว่างผู้รับเหมาเข้าดำเนินการพัฒนาพื้นที่ในส่วนของ ระยะที่ 1 เนื้อที่ 627.43 แล้ว นับเป็นนิคมฯแห่งที่สองในการจัดตั้งขึ้นภายใต้การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) ของรัฐบาลที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม คาดว่าจะสามารถเปิดบริการรองรับการลงทุนได้ภายในปี 2563 ขณะที่นิคมฯตาก ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก พื้นที่ 671.50 ไร่ ปัจจุบันสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้พิจารณาเห็นชอบในรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างกรมธนารักษ์ออกโฉนดที่ดิน และคาดว่าจะสามารถส่งมอบพื้นที่ให้กับ กนอ.ได้ประมาณเดือนธันวาคม 2562 ต่อไป สำหรับความคืบหน้าการศึกษาพื้นที่เพื่อรองรับการลงทุนของกลุ่มเอ็กซอน โมบิล คอร์ปอเรชั่น โครงการปิโตรเคมีส่วนขยายในพื้นที่บริเวณท่าเรือแหลมฉบัง ประมาณ 1,000 ไร่ รวมมูลค่า 3.3 แสนล้านบาทนั้น ตามมติในที่ประชุมของคณะกรรมการขับเคลื่อนและประสานงานการลงทุน ได้มอบหมายให้ กนอ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการศึกษาความเหมาะสม เพื่อพัฒนาพื้นที่บริเวณท่าเรือแหลมฉบังให้เป็นพื้นที่สำหรับอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงภายใต้แนวคิดการเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงการพัฒนาพื้นที่ท่าเรือ และให้นำเสนอผลการศึกษาต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนและประสานงานการลงทุน พิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน ซึ่งทาง กนอ. คาดว่าผลการศึกษาในเรื่องดังกล่าวจะเร่งสรุปให้แล้วเสร็จภายในที่กำหนดเพื่อที่จะขับเคลื่อนการลงทุนเนื่องจากเป็นมูลค่าการลงทุนที่สูงอันจะก่อให้เกิดการจ้างงานและรายได้เข้าประเทศ