เมื่อวันที่ 15 ส.ค.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง โฆษก ตร. เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีเสี่ยผู้รับเหมาขืนใจเด็กหญิงวัย 14 ปี เกี่ยวพันกับหลายท้องที่เกิดเหตุ ว่า เมื่อวันที่ 3 พ.ย.61 ผู้เสียหายได้เข้าไปลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐานที่ สภ.กุยบุรี ว่าบุตรสาวของตนหายไป และไม่สามารถติดต่อได้ ต่อมาประมาณ 3-4 วัน บิดาได้กลับมายัง สภ.และแจ้งว่าสามารถติดต่อกับบุตรสาวของตนได้แล้ว แจ้งว่าได้ไปพักอยู่กับนายจ้างของตนที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา อีกทั้งวันที่ 13 ส.ค.62 ผู้เสียได้เข้าไปแจ้งความที่ สน.ประเวศ ในอีกคดีหนึ่ง และพนักงานสอบสวนได้รับคำร้องทุกข์เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ต่อมาได้รับรายงานเพิ่มเติมจาก สน.ประเวศ ว่า วันที่ 15 ส.ค. 62 เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนได้บูรณาการกับเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายในการออกติดตามเพื่อจับกุม นายมนัส กวินภัทรพรต ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดพระโขนง ลงวันที่ 14 ส.ค.2562 ในข้อหา โดยปราศจากเหตุอันสมควร พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร,กระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม และพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร ต่อมาสามารถจับกุมตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมาย ในส่วนของคดีที่เกิดขึ้นที่ สน.ประเวศ ขณะนี้สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาไว้ได้แล้ว ส่วนของในคดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่ หาดใหญ่ที่ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องความร้องทุกข์กับ ปคม. นั้น มีความคืบหน้าไปมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่าง สืบสวนสอบสวนและ รวมพยานหลักฐานและจะดำเนินการขอศาลอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้อง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้เน้นย้ำกองบัญชาการทุกภาคส่วน ให้มีแผนการป้องกันเหตุลักษณะนี้ โดยวางแนวทางและประสานการปฎิบัติร่วมกันระหว่างหน่วย อีกทั้งให้มีการดำเนินการสืบสวนสอบสวนในทุกคดี ด้วยความถูกต้อง รวดเร็ว เป็นธรรม ตามหลักกฎหมาย อาศัยพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์หรือพยานหลักฐานที่ชี้ถึงตัวผู้กระทำความผิดเป็นสำคัญ และต้องสามารถนำผู้ก่อเหตุมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ได้โดยเร็ว เพื่อเยียวยาความเสียหาย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนและสังคม