คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย หากเราต้องการจะทราบความยิ่งใหญ่และข้อเท็จจริงอย่างถ่องแท้ถึงประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมานั้นว่า ประธานาธิบดีที่ได้รับการยอมรับว่ามีความยิ่งใหญ่แล้วมีกี่ท่านก็จะเห็นได้อย่างค่อนข้างเด่นชัดอันได้แก่ ประธานาธิบดีวู๊ดโรว์ วิลสัน แฟรงกลิน ดี.รูสเวลต์ แฮรี ทรูแมน จอห์น เอฟ.เคนเนดี ลินดอล์น จอห์นสันบิล คลินตันและบารัก โอบามา ทั้งนี้ประธานาธิบดีเหล่านี้ล้วนแล้วแต่สังกัดอยู่ในพรรคเดแครตแทบทั้งสิ้น ยกเว้นแต่เพียงประธานาธิบดีดไวต์ ไอเซนฮาวร์ ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนที่สังกัดพรรครีพับลิกัน!!! อย่างไรก็ตามเซอร์วิลตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษสองสมัย นักการทหาร นักประวัติศาสตร์ และนักหนังสือพิมพ์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าเป็นรัฐบุรุษของอังกฤษและของโลกได้เคยกล่าวไว้ว่า “ผู้นำสหรัฐอเมริกาตัดสินใจอะไร ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่น่าไว้วางใจและเชื่อถือได้เสมอ” ทั้งนี้ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองนายกรัฐมนตรีเชอร์ชิลทำงานอย่างใกล้ชิดกับประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี.รูสเวลท์ ประธานาธิปดีผู้ยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกา โดยทั้งสองผู้นำนี้ได้ร่วมประชุมสุดยอดกับ โจเซฟ สตาลิน แห่งสหภาพโซเวียตรัสเซียหลายๆครั้ง เพื่อต้องการเอาชนะสงครามโลกครั้งที่สอง อนึ่งความประทับใจของเชอร์ชิลที่มีต่อสหรัฐอเมริกาได้เริ่มต้นตั้งแต่สมัยเยาว์วัย เมื่อตอนเขามีอายุได้ 21 ปีครั้งที่เขาเดินทางไปเยือนกรุงนิวยอร์ก เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 1895 โดยเขาเขียนจดหมายถึงคุณแม่ว่า "คนอเมริกันเป็นคนพิเศษมีนิสัยโอบอ้อมอารี และมีความเป็นกันเอง" อีกทั้งเขายังได้เขียนจดหมายถึงน้องชายของเขาอีกด้วยว่า “สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่” แต่ดูเหมือนว่าในขณะนี้“ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ได้สร้างความแตกต่างอย่างกลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิงในการสร้างสัมพันธ์กับมิตรประเทศที่ผู้นำนานาประเทศทั้งหลายต่างไม่ได้รับความไว้วางใจจนดูประหนึ่งว่า “นานวันเข้าก็ยิ่งทำให้สหรัฐอเมริกาก้าวถอยหลังและค่อยๆเสื่อมลง” ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้อย่างเด่นชัดที่สุดจากผลงานของกลุ่มนักวิชาการด้านจิตแพทย์ นักจิตวิทยาและนักการสาธารณะสุข 27 คนที่ร่วมกันเขียนหนังสือชื่อว่า “The Dangerous Case of Donald Trump” โดยมี “ดร.แบรนดี ลี” ศาสตราจารย์ คณะแพทย์ศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเยล ซึ่งมีบิดาเป็นแพทย์ที่ถือว่า เขาเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เข้ามารับหน้าที่เป็นบรรณาธิการ!!! หนังสือเล่มนี้เหล่านักวิชาการได้วางโจทย์เอาไว้ โดยให้ผู้ร่วมงานทั้งยี่สิบเจ็ดคนที่เป็นจิตแพทย์ และ นักจิตวิทยาลัย จากมหาวิทยาลัยชั้นนำต่างๆของสหรัฐอเมริกันเช่น แสตนฟอร์ด ฮาร์วาร์ด และเยลเป็นต้น ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นรู้สึกมีความห่วงใยในการเป็นผู้นำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นอย่างมาก โดยเมื่อพวกเขาร่วมกันทำการวิเคราะห์แล้ว นักวิชาการเหล่านี้ได้ออกมาสรุปเป็นเอกฉันท์ว่า “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นบุคคลที่อันตราย” ทั้งนี้ศาสตราจารย์แบนดีวัย 49 ปี ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตแพทย์เป็นผู้จุดประกายเกี่ยวกับสุขภาพจิตของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยสรุปว่า สภาวะทางจิตใจของประธานาธิบดีทรัมป์มีผลกระทบ เพราะสภาพจิตของเขาเสี่ยงกับสหรัฐอเมริกาที่ครอบคลุมไปถึงเรื่องสงคราม ระบอบประชาธิปไตย โดยชี้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์เป็นบุคคลแสนอันตราย จิตแพทย์ ดร.โรเบิร์ต ลิฟตัน ผู้เขียนคำนำของหนังสือเล่มนี้ได้ชี้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์มีสภาวะทางจิตหวาดระแวงและชอบคิดทำอะไรใหญ่โตชอบโอ้อวดเกินเรื่องอันควร (Paranoid grandiosity) อย่างไรก็ตามนักวิชาการกลุ่มนี้ได้เรียกร้องให้มีการวินิจฉัยประเมินสภาพจิตใจของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งสวนทางกับหลักปฏิบัติของสมาคมแพทย์ในอดีตที่ผ่านมา “บิล มอยเยอร์ส์” นักหนังสือพิมพ์ผู้มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกาได้ตีพิมพ์ในนิตยสาร Salmon ของเดือนกันยายน2017 โดยเขาได้ชี้ว่า “อะไรก็ตามที่ออกมาจากปากของประธานาธิบดีทรัมป์ล้วนแต่เป็นเรื่องแปลกประหลาดทั้งสิ้น ซึ่งขัดกับความเป็นจริง” ส่วน “เอสเทล ฟรีดแมน” นักประวัติศาสตร์เรืองนามแห่งมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด ก็ออกมาชื่นชมหนังสือเกี่ยวกับประธานาธิบดีทรัมป์เล่มดังกล่าวนี้ โดยกล่าวว่า“ถือเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ และ เป็นสัญญานเตือนภัยต่อพฤติกรรมอันน่าหวาดเสียวของประธานาธิบดีทรัมป์” อย่างไรก็ตามหลังจากที่อัยการพิเศษโรเบิร์ต มุลเลอร์ เปิดเผยผลสรุปหนา 449 หน้าเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนกรณีการเลือกตั้งเมื่อปี 2016 ที่รัสเซียเข้าแทรกแซงเพื่อเอื้ออำนวยให้ประธานาธิบดีทรัมป์เข้าสู่ทำเนียบขาวนั้น ดร.แบนดีได้ผนึกนักวิชาการด้านจิตแพทย์กลุ่มหนึ่งมาวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมของประธานาธิบดีทรัมป์เกี่ยวกับบทบาทการเป็นประธานาธิบดีของเขาอีกวาระหนึ่ง!!! ทั้งนี้กลุ่มของดร.แบนดีได้สรุปว่า“ประธานาธิบดีทรัมป์มีอาการป่วยทางจิต และไม่เหมาะสมในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เพราะถือว่ายังเป็นภัยต่อโลก” จากแง่คิดของดร.แบนดีนั้น เธอยังได้ชี้ออกมาหลายๆประเด็นที่เกรงไปว่า “จะสร้างความสยดสยองให้เกิดขึ้น และเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของสหรัฐอเมริกาที่อเมริกันชนจำต้องเร่งแก้ไขปัญหา มิใช่ยอมรับต่อสิ่งที่ผิดปกติต่อไป” อีกทั้งดร.แบนดียังได้อธิบายต่อไปอีกว่า หาก โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นเพียงบุคคลธรรมดาๆก็ไม่ถือว่าเป็นอันตรายต่อสังคมมากเท่าใดนัก แต่นี่เป็นเพราะโดนัลด์ทรัมป์อยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดี “ในฐานะที่พวกเรามีอาชีพเยียวยาผู้ป่วยที่เป็นโรคทางจิต จึงเป็นเรื่องที่พวกเราจำต้องอย่างยิ่งที่ต้องรับผิดชอบเพื่อสังคม สิ่งที่พวกเราทำอยู่ในขณะนี้ก็เพียงเพื่อต้องการการชี้ให้สาธารณะได้รับทราบ ซึ่งมิใช่เป็นเกมทางการเมืองอย่างใด แต่เป็นเรื่องของความมั่นคงปลอดภัย เป็นเรื่องของความร้ายแรงทางสังคมที่ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังทำลายล้างระบอบประชาธิปไตย และ ทำลายล้างสหรัฐอเมริกาของเรา” โดยดร.แบนดีชี้อีกว่า ประธานาธิบดีทรัมป์โกหกทั้งตัวเองและคนอื่นๆ แถมยังกลบเกลื่อนความจริง อีกทั้งดร.แบนดี ยังได้เรียกร้องว่า “หากประธานาธิบดีทรัมป์ ยังต้องการอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดี เขาต้องยอมให้จิตแพทย์มืออาชีพเข้าทำการตรวจสอบสภาวะจิตของเขา” อย่างไรก็ตามดร.แบนดีไม่ขอเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับขบวนการถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ออกจากตำแหน่ง เพราะนั่นเป็นเรื่องของการเมืองและหากว่าประธานาธิบดีทรัมป์ยังอยู่ในตำแหน่งต่อไปด้วยการมีสภาวะทางด้านจิตใจเช่นนี้ ก็จะทำให้เป็นอันตรายต่อประเทศชาติ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ในการที่จะทำให้ประเทศชาติเสียหายโดยถือว่าเป็นเรื่องด่วนอันดับหนึ่งในขณะนี้เลยทีเดียว กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนี้ นักวิชาการทั้ง 27 ท่านนี้ นับว่าเป็นผู้จุดประกายให้สาธารณชนและให้นานาประเทศได้พอจะทราบว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ไม่ปรกติเป็นผู้ป่วยทางจิต และเป็นบุคคลอันตรายและไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ที่จะดำรงอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีอีกต่อไปโดยขณะนี้สภาคองเกรสกำลังดำริพิจารณาถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ออกจากตำแหน่ง โดยใช้รัฐธรรมนูญเป็นข้ออ้างละครับ