สะใภ้เผยไม่เคยทำร้ายยายลักษณ์ แต่เพื่อนบ้านรวมตัวสวนทันควัน สุดทนกับพฤติกรรมทำร้ายแม่สามี โดยเผยเคยได้ยินจากปากเจ้าตัวว่าถูกลูกและสะใภ้ทำร้าย ซึ่งมีการได้ยินเสียงเอาหัวโขกกับกำแพงห้องมาแล้ว ด้านลูกชายแบ่งรับแบ่งสู้จะพบหรือไม่พบสื่อเพื่อตอบคำถามกับสังคม วันนี้ 15 ส.ค. 62 ผู้สื่อข่าวเกาะติดความคืบหน้ากรณี นางทองลักษณ์ พาหา อายุ 85 ปี หรือยายลักษณ์ ที่ถูกเพื่อนบ้านแจ้งให้เจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าให้การช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาลสามพราน โดยคาดว่าน่าจถูกลูกชายและลูกสะใภ้ทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บตามใบหน้าศรีษะและร่างกายหลายแห่ง โดยแหตุเกิดที่บ้านเอื้ออาทร พุทธมณฑลสาย 5 ม.13 ต.ไร่ขิง อ.สามพราน จ.นครปฐม เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม หลังจากวันแม่ มาเพียง 2 วัน โดยผู้สื่อข่าว ได้เข้าติดตามบรรยากาศที่บริเวณที่เกิดเหตุ ที่อาคาร 5 ชั้น 5 หน้าห้องหมายเลข ที่ 77/5509 ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เข้ามารับตัว ยายลักษณ์ตั้งแต่เช้าเมื่อวาน โดยพบว่าช่วงกลางดึก ที่ห้องหมายเลขดังกล่าวได้มีคนกลับมาอยู่ที่ห้องพักและมีเสียงคุยโทรศัพท์ดังออกมาเป็นระยะ จากนั้นได้สอบถามไปยังผู้ที่อยู่ภายใน โดยเป็นหญิงที่บอกว่าเป็นลูกสะใภ้ของยายลักษณ์ ที่ถูกระบุจากเพื่อนบ้านว่าเป็นคนทำร้ายร่างกายยายลักษณ์ แม่สามี โดย นางเล็ก ลูกสะใภ้ บอกว่า เพิ่งทราบเรื่องดังกล่าวจากสามีที่โทรมาหาตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 14 สิงหาคม ที่ผ่านมาและยังงงว่าเกิดอะไรขึ้น โดยของปฏิเสธว่าไม่ได้เป้นคนทำร้ายยายลักษณ์ โดยไม่เข้าใจว่าเพื่อนบ้านบางคนที่เอาเรื่องไปแจ้งเจ้าหน้าที่คิดอะไรถึงได้ทำสิ่งนั้น เพราะก่อนหน้าก็เลี้ยงดูยายลักษณ์มาตลอด 4-5 ปี ไม่ใช่มาอยู่แค่สองวัน ส่วนบาดแผลที่เห็นนั้นเกิดจากการล้มของยายลักษณ์เพิ่งจะพาไปหาหมอมา ส่วนประเด็นที่ให้นอนนอกห้องนั้น ก็ขอปฏิเสธโดยจะให้นอนข้างนอกเฉพาะช่วงลางวัน กลางคืนกลบมาก็จะให้เข้ามานอนในบ้าน และที่ต้องให้อยู่นอกบ้านเพราะในห้องมีปลั๊กไฟหลายแห่งเกรงจะเกิดอันตราย และขอปฏิเสธที่ชาวบ้านมาบอกเรื่องการทำร้ายร่างกาย การงข้าวและน้ำ ซึ่งหากเพื่อนบ้านไม่พอใจก็น่าจะไปแจ้งเรื่องความเดือดร้อนรำคาญ หากที่ห้องส่งเสียงดังและไม่เข้าใจว่ามีคนมานำตัวยายลักษณ์แล้วมีการยกไม้ 2 อันทั้งสั้นและยาวไปถ่ายภาพว่าต้องการอะไร เรื่องเหล่านี้เป้นเรื่องในครอบครัวที่จะแก้ไชปัญหากันเอง ส่วนตอนนี้ยังไม่ได้ไปเยี่ยมยายลักษณิ์เพราะเพิ่งกลับจากทำงานรอบดึกส่วนทางออกนั้นทางสามีก็จะไปหารือนิติกรว่าจะให้ยายไปอยู่ทีอื่นหรือไม่อย่างไรก็ให้ลูกชายเป็นคนตัดสินและก่อนหน้าก็เคยมีตำรวจมาสอบถามเรื่องการทำร้ายยายลักษณ์มาแล้วซึ่งตนก็งงว่าชาวบ้านเอาเรื่องพวกนี้ไปพูดทำให้เราเสียหายได้อย่างไร ซึ่งหลังจากชาวบ้านร่วมอาคาร ได้ขึ้นไปฟังกับคำตอบได้กลับลงมาจับกลุ่มเพื่อให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า เรื่องของยายลักษณ์นั้นเป็นประเด็นประมาณ 2-3 เดือนก่อนเมื่อ นางเล็ก(ลูกสะใภ้นั้นประสบอุบัติเหตุที่สามีขี่รถจักรยานยนต์ไปล้มและขาหัก ซึ่งน่าจะมีความเครียดโดยได้เริ่มมีการทำร้ายร่างกายที่ ยายลักษณ์ช่วงนั้นยังพูดได้ก็จะบอกว่าถูกลูกสะใภ้ทำร้าย ซึ่งก็เคยมีการเห็นว่าช่วงที่ยายลักษณ์มีอาการชรามากขึ้น คือการเอาเท้าเขี่ยยายลักษณ์ให้ออกมานอกห้อง และใช้ไม้ตีหลายครั้ง และถ้ายายลักษณ์ไปขอข้าวคนอื่นกินก็จะถูกด่าว่าเป็นขอทานไปขอข้าวนอื่นกิน ซึ่งมีครั้งหนึ่งเคยเห็นว่ามีการเอาไว้ตีจนยายลักษณ์ก้มหน้าฟุบไปปิดหน้าปิดตากับพื้น มีครั้งหนึ่งเคนได้ยินว่ายายลักษณ์ถูกจับเอาหัวโขกกำแพงเสียงดังตึงๆ แต่ก็อดทนไม่ยอมร้องให้ใครช่วย ซึ่งก็ต้องแอบเข้าไปช่วยดูในช่วงที่สองผัวเมียออกไปทำงานแล้ว ยิ่งหากวันไหนเป็นวันหยุดยาวและลูกสะใภ้อยู่ห้องเป็นเวลานานก็จะเป็นการถูกทำร้ายมากขึ้นซึ่งหลายครั้งก็ยังไปบอกกับคนอื่นว่าทุบตียายไปแล้วโดยไม่สนใจใคร ซี่งเพื่อนบ้านได้แสดงหลักฐานเป็นภาพถ่ายว่า ชาวบ้านพยายามช่วยเหลือยายลักษณ์มานานแล้ว แต่เพิ่งจะมีการประสานเข้าหน้าที่เข้ามาจัดการล่าสุดที่ผ่านมาหลังเห็นว่าโดนทำร้ายหนัก ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้พยายามติดต่อนายทินกร บุตรขาย เพื่อสอบถามความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าวผ่านนิติกรของหมู่บ้าน ซึ่งก็แบ่งรับแบ่งสู่ว่าจะออกมาโต้ข่าวแต่เมื่อได้มีการขอนัดสัมภาษณ์ก็ยังไม่ได้มีการรับปากว่าจะเข้ามาพบสื่อเมื่อใด และยังไม่ปฏิเสธหรือยอมรับว่าได้มีการทำร้ายมารดาจริงหรือไม่ โดยยังปฏิเสธว่าไม่ทราบว่าภรรยานั้นได้ทำร้ายมารดาจริงหรือไม่อีกด้วยเพราะออกไปทำงานแต่เข้าและกลับเข้าบ้านดึกทุกวัน แต่วันดังกล่าวก็ยังไม่ได้รีบเข้าไปเยี่ยมมารดาที่นอนโรงพยาบาลรักษาตัวอยู่ เนื่องจากอ้างว่าต้องขับรถของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง หากเสร็จจะรีบไปเยี่ยมมารดาทันที