คอลัมน์ “ด้วยสมองและสองมือ” คอลลาเจน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และผิวหนังชั้นหนังแท้ โดยคิดเป็นร้อยละ 75 ของน้ำหนักของผิวหนังทั้งหมด โดยคอลลาเจนมีรูปร่างเป็นเกลียวพันกันสามเส้น ซึ่งแต่ละเส้นประกอบไปด้วย สายเปปไทด์ กระบวนการสร้างคอลลาเจนนั้นค่อนข้างซับซ้อนและต้องอาศัยเอนไซม์แร่ธาตุและสารชีวโมเลกุลหลายชนิด ในแต่ละขั้นตอนย่อยของการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น มีความทนต่อแรงดึง และทำให้ผิวหนังปกป้องร่างกายจากอันตรายอันจะก่อให้เกิดการบาดเจ็บต่ออวัยวะในชั้นลึก แต่เมื่ออายุมากขึ้นคอลลาเจนที่มีจะเริ่มลดลง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดริ้วรอย ผิวหนังเหี่ยวย่น อาการปวดข้อ ปวดกระดูก ด้วยสรรพคุณมากมาย คอลลาเจนจึงถูกนำมาใช้ทางการแพทย์ การผลิตเครื่องสำอาง และอาหารเสริมจำนวนมาก โดยคอลลาเจนชนิดรับประทาน ช่วยสร้างเสริมความยืดหยุ่นของผิวหนังในชั้นหนังแท้ สำหรับคอลลาเจนในรูปแบบการทา สามารถช่วยเคลือบผิวหนังเพื่อเก็บกักความชุ่มชื้นไว้ในผิวหนัง ทางการแพทย์ใช้ในการดูแลแผลชนิดต่าง ๆ จากคุณประโยชน์ของคอลลาเจนทั้งเรื่องสุขภาพและความความงาม จึงทำให้ ดร.ดวงฤทัย นิคมรัฐ ดร.ภัทริกา สูงสมบัติ ผศ.ณัฐชมัย ลักษณ์อำนวยพร และอาจารย์มาโนช หลักฐานดี อาจารย์สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร จึงร่วมกันคิดค้นครีมบำรุงผิวหน้า จากสารสกัดเยื่อไข่ อุดมด้วยเปปไทด์และคอลลาเจน มีอนุภาคช่วยเร่งกระตุ้นให้ผิวเต่งตึง ช่วยลดริ้วรอย และเสริมการดูแลสุขภาพผิวให้อ่อนเยาว์ ดร.ดวงฤทัย นิคมรัฐ ตัวแทนทีมวิจัย กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของงานวิจัยว่า ปัจจุบันมีการนำคอลลาเจนมาเป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางและอาหารเสริมเกือบทุกประเภท นอกจากนี้ ภายหลังจากที่ได้ลงพื้นที่ชุมชนนาพันสาม และชุมชนสำมะโรง จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมขนมหวานขนาดใหญ่ พบเปลือกไข่ที่ใช้ทำขนมหวานถูกทิ้งเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นการสร้างขยะและมลพิษ ด้วยเหตุนี้จึงคิดสกัดสารออกจากเยื่อเปลือกไข่ เพื่อให้ได้โปรตีนไฮโดรไลเสต (Hydrolysate) ซึ่งเป็นแหล่งของคอลลาเจนและเปปไทด์ เพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบสำคัญในครีมบำรุงผิวหน้า ในการช่วยเร่งการสร้างคอลลาเจน และลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนผิวหน้าได้ ดร.ดวงฤทัยกล่าวว่า เยื่อเปลือกไข่ (EMS) เป็นแผ่นบาง ๆ ที่มาจากด้านในของเปลือกไข่ เป็นแหล่งสารสำคัญที่ส่งเสริมการเพิ่มจำนวนของคอลลาเจนชนิดที่สามอยู่ใต้เซลล์ผิวหนัง โดยขั้นตอนการวิจัยได้นำวิธีการสกัดทางกายภาพ และทางเคมี มาประยุกต์ใช้ในการทำปฏิกิริยาของเอนไซม์ ในการย่อยเยื่อหุ้มเปลือกไข่ เพื่อสกัดโปรตีนไฮโดรไลเสต ที่มีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพในการยับยั้งจุลินทรีย์ และได้สารกลุ่มคอลลาเจน อาทิ เคราติน (Keratin) ไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid) และคอนโดอิติน ซัลเฟต (Chondroitin Sulfate) กระบวนการเริ่มต้นด้วยวิธีการย่อยสลาย ใช้แบคทีเรียชนิดกรดแลกติกที่เป็นมิตรต่อมนุษย์ในการย่อยโปรตีนจากเยื่อหุ้มเซลล์เปลือกไข่โดยตรง จากนั้นเมื่อได้สารละลายโปรตีนไฮโดรไลเสตแล้วจึงกรอง ต่อมาจะนำมาทำให้บริสุทธิ์ โดยการไดอะไลซิส (Dialysis) และตกตะกอน และทำให้แห้ง จากนั้นจึงนำมาทำเป็นสารสกัดโปรตีนไฮโดรไลเซต ด้วย polyethylene glycol (PEG) : H2O และทำให้บริสุทธิ์อีกครั้ง ก่อนที่จะทำเป็นสารสกัดสำคัญในครีมบำรุงผิว ทุกขั้นตอนผ่านการควบคุมอุณหภูมิ ปฏิกิริยาที่ใช้ และค่า pH ที่ไม่รุนแรง รวมถึงกระบวนการทำที่สะอาด และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ การทดลองในกลุ่มผู้หญิงอายุ 35 – 55 ปี ที่ทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าสกัดจากเยื่อเปลือกไข่ทุกวันเป็นเวลา 8 สัปดาห์ สามารถเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว ความชุ่มชื้น การสูญเสียน้ำทางผิวหนัง (ความแห้ง) และความหยาบของผิวหนังอย่างมีนัยสำคัญ โดยแทบไม่มีผลข้างเคียงใด ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ดร.ดวงฤทัย นิคมรัฐ โทรศัพท์ 081-167-4241