เมื่อวันที่ 14 ส.ค.62 ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก่อการร้าย หมายเลขดำ อ.2542/2553 ที่อัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อายุ 71 ปี อดีตประธาน นปช., นายจตุพร หรือตู่ พรหมพันธุ์ อายุ 54 ปี ประธาน นปช., นายณัฐวุฒิ หรือเต้น ใสยเกื้อ อายุ 44 ปี เลขาธิการ นปช., นพ.เหวง โตจิราการ อายุ 68 ปี, นายก่อแก้ว พิกุลทอง อายุ 54 ปี, นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก อายุ 61 ปี, นายอริสมันต์ หรือกี้ พงษ์เรืองรอง อายุ 55 ปี แกนนำและแนวร่วม นปช.รวม 24 คน เป็นจำเลยที่ 1- 24 ในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 135/1, 135/2 ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10คนขึ้นไป ทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา ให้ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินเพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ตามมาตรา 116, 215, 216 และร่วมกันชุมนุมฝ่าฝืน พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548รวม 6 ข้อหา กรณีพวกจำเลยได้ยุยงปลุกปั่นประชาชนให้เข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่ม นปช. ต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. – 20พ.ค.2553 เพื่อกดดัน ต่อต้านรัฐบาล และบังคับขู่เข็ญ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ประกาศยุบสภา ซึ่งจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ต่อมาศาลได้พิพากษายกฟ้องทุกข้อหา เพราะเห็นว่า “เป็นการต่อสู้ทางการเมือง ไม่ใช่เป็นการก่อการร้าย” โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่คู่ความทั้งสองฝ่ายนำสื่อแล้วเห็นว่าการกระทำอันเป็นความผิดก่อการร้ายจะต้องเป็นการกระทำอันเข้าองค์ประกอบความผิดที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 135 / 1 ว(1)ถึง(3)คือต้องมีลักษณะเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกายหรือเสรีภาพของบุคคลใดๆกระทำการใดใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งสาธารณะระบบโทรคมมนาคมหรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะกระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐหนึ่งรัฐใดหรือบุคคลใดหรือต่อสิ่งแวดล้อมอันก่อให้เกิดหรือน่าจะเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวนั้นผู้กระทำต้องมีเจตนาพิเศษโดยมีความมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทยรัฐบาลต่างประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศให้กระทำหรือไม่กระทำการใดอันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงหรือเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชนแต่หากเป็นการกระทำในการเดินขบวนชุมนุมประท้วงโต้แย้งหรือเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือหรือให้ได้รับความเป็นธรรมอันเป็นการใช้สิทธิ์ทิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญการกระทำนั้นไม่เป็นความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย จากพยานหลักฐานทางนำสืบของโจทก์ไม่มีพยานปากใดที่ข้ามาเบิกความยืนยันว่า มีจำเลยคนหนึ่งคนใดที่เป็นแกนนำกลุ่ม นปช. ได้ทำการปราศรัยหรือกระทำการอันเป็นการยุยงปลุกปั่นให้ผู้ร่วมชุมนุมกระทำการดังที่ได้ระบุไว้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรามาตรา 135 / 1 วงเล็บ(1)ถึง(3) แม้โจทก์จะมีพยานเบิกความต่อศาลว่าระหว่างการชุมนุมของกลุ่มนปช. มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นมากมายหลายแห่งตามข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายในคำฟ้องแต่พยานโจทก์ไม่ได้เบิกความยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวเป็นการกระทำของบุคคลใดหรือเป็นการกระทำของฝ่ายใดและไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องของแหล่งข่าวว่าเป็นจริงหรือไม่และยังมีพยานโจทก์อีกหลายปากเบิกความต่อศาลว่าการชุมนุมของนปช.เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องทางการเมืองให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศเดือนพฤษภาคมแล้วจัดให้มีการเลือกตั้งกันใหม่เหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุมโดยเฉพาะเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 ก็ไม่มีพยานปากใดเบิกความยืนยันว่าเป็นการกระทำของกลุ่มนปช. การเดินทางไปที่รัฐสภาและสถานีดาวเทียมไทยคมก็เป็นการเดินทางไปเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลมีคำสั่งให้ต่อสัญญาณสถานีโทรทัศน์ช่องพีเพิล ชาเเนล ที่รัฐบาลมีคำสั่งให้ปิดหรือตัดสัญญาณไปแล้ว ซึ่งก่อนหน้านั้นชายชุดดำก็ไม่ปรากฏว่า เป็นกองกำลังของฝ่ายใดและไม่สามารถจับกุมบุคคลใดมาดำเนินคดีได้ในขณะนั้นทั้งทั้งที่สถานที่ที่ปรากฏตัวชายชุดดำมีประชาชนอยู่ด้วยจำนวนมากจึงไม่น่าที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะจับกุมดำเนินคดีไม่ได้ทันท่วงทีการที่แกนนำกลุ่มนปช. ปราศรัยบนเวทีที่ว่าหากทหารออกมาสลายการชุมนุมหรือทำรัฐประหารให้ประชาชนนำน้ำมันและให้มีการเผานั้น เป็นการกล่าวปราศรัยบนเวทีก่อนวันที่จะมีการชุมนุมใหญ่หลายวันและไม่มีเหตุการณ์เผาทำลายทรัพย์สินตามที่มีการปราศรัยแต่อย่างใด การวางเพลิงเผาเกิดขึ้นช่วงบ่ายวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ภายหลังจากแกนนำกลุ่มนปช. ประกาศยุติการชุมนุมแล้วซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยในเรื่องการวางเพลิงเผาซับไว้เป็นที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8132 / 2561 ว่ามิใช่เป็นการกระทำของกลุ่มนปช. การปราศรัยเรียกร้องให้ประชาชนทำการต่อต้านการทำรัฐประหารเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมที่สามารถจะทำได้ไม่ถือเป็นความผิดต่อกฎหมายแต่อย่างใดการชุมนุมของกลุ่มนปช. เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่เป็นการใช้สิทธิ์เรียกร้องทางการเมือง ซึ่งแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมประกาศแนวทางการต่อสู้มาโดยตลอดว่าเป็นการชุมนุมโดยสันติวิธีสงบและปราศจากอาวุธและปฏิเสธเข้ามาดำเนินการของพลตรีขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง กับพวกซึ่งมีแนวทางการต่อสู้คนละแนวกันตลอดมา การดำเนินการของพลตรีขัตติยะกับพวกจึงไม่ใช่เป็นการดำเนินกิจกรรมของกลุ่มนปช. เพราะแกนนำนปช. ประกาศจุดยืนมาโดยตลอดว่าเป็นการชุมนุมโดยสันติวิธีสงบปราศจากอาวุธการชุมนุมของกลุ่มนปช. มีผู้เข้าร่วมชุมนุมจำนวนมากจึงอาจจะมีบุคคลผู้ไม่หวังดีแฝงตัวเข้ามา เพื่อสร้างสถานการณ์ให้เป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฏหมายก็เป็นไปได้ ส่วนการที่จำเลยที่ 7กับพวกขัดขวางการลำเลียงกำลังพลของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารบริเวณสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าและยึดเอาอาวุธยุทโธปกรณ์ไปแสดงต่อสื่อมวลชนบริเวณเวทีปราศรัยและต่อมาเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องรับเอาอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหลายเหล่านั้นกลับคืนไปหมดแล้วการกระทำดังกล่าวมิได้ประสงค์เอาแก่ตัวซับเพื่อเอาเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ชอบจึงไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันปล้นซับเหตุวางเพลิงเผาซับและทำลายทรัพย์สินของทางราชการบริเวณสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าเกิดขึ้นภายหลังจากจำเลยที่เจ็ดนำเอาอาวุธยุทโธปกรณ์ไปแสดงต่อสื่อมวลชนแล้วไม่ได้ความว่าจำเลยที่เจ็ดเดินทางกลับไปอีกกรณีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่เจ็ดร่วมกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ด้วย โจทก์ฟ้องคดีนี้รวม5สำนวนขอให้ลงโทษฐานก่อการร้ายเดอะบรรยายฟ้องถึงลักษณะการกระทำความผิดต่างๆเพื่อให้ครบองค์ประกอบความผิดและไม่ได้ขอให้ลงโทษในการกระทำความผิดลักษณะต่างๆมาด้วยจึงถือว่าเหตุการณ์ต่างๆตามที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องดังกล่าวเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษส่วนที่โจทก์ขอให้ลงโทษเฉพาะจำเลยที่ 24 ในความผิดต่างๆอันเป็นองค์ประกอบความผิดมานั้นฟังได้ว่าเป็นการกระทำต่อเนื่องเกี่ยวพันกันกับคดีพนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ 24 กับพวกต่อศาลจังหวัดพัทยากรณีพาพวกไปขัดขวางการประชุมผู้นำอาเซียนและศาลจังหวัดพัทยามีคำพิพากษาแล้วคำฟ้องของโจทก์ในส่วนนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจนาความอาญามาตรา 39 (4)แม้รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลแต่ต่อมาสุนัขโดยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินหรือ ศอฉ.ได้ประกาศห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมในท้องที่ดังกล่าวการออกอากาศเช่นว่านั้นก็เพื่อควบคุมสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มนปช. ซึ่งได้ร่วมชุมนุมต่อเนื่องติดต่อกันมาแล้วหลายวัน แต่ภายหลังที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงแล้วไม่ได้ความจากพยานหลักฐานตามทางนำสืบของโจทก์ว่าแกนนำกลุ่ม นปช. แดง จัดการชุมนุมที่อื่นได้อีก นอกเหนือจากสถานที่ที่มีการชุมนุมอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งการกระทำของจำเลยที่ 1- 15 และจำเลยที่ 18- 24 จึงไม่เป็นความผิด จึงพิพากษายกฟ้อง