เรื่อง :ปาริชาติ เฉลิมศรี/ พัชรพรรณ โอภาสพินิจ หมายเหตุ เนื่องในวันที่ 12 สิงหาคม คือ “วันแม่แห่งชาติ” ของทุกปี ในปีนี้ "สยามรัฐ"ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ “ผู้หญิงเก่ง” ทั้งสองท่าน คนแรกคือ “ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อสะท้อนอีกบทบาทสำคัญ ในฐานะ “คุณแม่” ส่วนท่านที่สอง เพิ่งเข้ามารับบทบาทใหม่ ในฐานะ “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” คือ “ อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล” ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ที่ต้องรับบทแม่ลูกสอง ได้อย่างมีคุณภาพ “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์" - การแบ่งเวลาให้ครอบครัวเมื่อต้องมาทำงานการเมือง เป็นเรื่องที่สังคมไทยหรือสังคมโลกมีความหวังต่อผู้หญิงในหน้าที่ ที่จะต้องดูแลครอบครัว ตั้งแต่สามี ลูก คุณพ่อ คุณแม่ ไปจนถึงครอบครัวสามี ความคาดหวังตรงนี้มีเยอะ และไม่ใช่แค่สังคมที่จะคาดหวังกับเรา แต่ด้วยเพราะเราโตมาแบบนี้ทำให้คาดหวังกับตัวเองด้วย ซึ่งเราจะทำให้ดีทั้งหมดคงไม่ได้ ก็ต้องจัดสรรเวลา อย่างตัวอาจารย์เองลูกยังเล็กคนโตอายุ 8 ขวบและคนเล็กอายุ 6 ขวบก็ต้องดูแล แต่เบาขึ้นกว่าตอนที่เขายังเล็กอยู่ เพราะตอนนี้ลูกไปโรงเรียนแล้ว เราก็มีหน้าที่ไปรับ-ส่ง ซึ่งสามีก็สลับกันทำหน้าที่ตรงนี้ แต่ถ้ามีเวลาก็จะไปรับเอง ซึ่งสิ่งที่ทำคือจะไม่ค่อยออกไปงานกลางคืน ถ้าไม่จำเป็นต้องไปไหนในช่วงเย็น ก็ใช้เวลานี้สอนลูกทำการบ้าน พาเขาอาบน้ำ พาเข้านอน ส่วนช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ถ้าไม่มีภารกิจอะไร จะพาลูกไปเรียนเปียโน สิ่งที่ทำก็ไม่ได้เหนื่อยอะไร เพราะเวลาที่เราได้อยู่กับลูกก็เหมือนกับเราได้พักผ่อน รวมถึงคุณแม่ของอาจารย์ก็มาอยู่ด้วยกันที่บ้าน ก็พยายามที่จะให้คุณแม่ได้ออกไปตลาดทุกวัน - การจัดสรรเวลาให้กับลูก ถ้าในช่วงเปิดเทอม เราก็จะตื่นพร้อมกับลูก ซึ่งก็แบ่งกับสามีดูลูกคนละคน พาไปอาบน้ำ แต่งตัว ให้ลูกรับประทานอาหาร แล้วก็ส่งลูกขึ้นรถไปโรงเรียน อย่างกับลูกสาวคนโต เขาจะใส่นาฬิกข้อมือ ที่สามารถส่งข้อความหากันได้ จะเป็น Family chat ที่คนในครอบครัวส่งข้อความหากัน ซึ่งเราก็จะพยายามไม่ส่งหาเขาเยอะ เพราะตอนหลัง ๆ ลูกบอกว่าแม่อย่าส่งมาเยอะกำลังเรียนอยู่ เดี๋ยวคุณครูมอง ในเรื่องการเรียน ลูกคนโตการเรียนดี ตั้งใจเรียน คุณครูก็ชื่นชม และเป็นนักกีฬ่าว่ายน้ำของโรงเรียนด้วย ถึงจะไม่เก่งมากนัก แต่สามารถลงแข่งขันรายการต่าง ๆ ได้ ซึ่งเราหวังแค่ให้ลูกมีทักษะในการว่ายน้ำเพื่อเอาตัวรอดได้ และเป็นการออกกำลังกาย เนื่องจากเด็กวัยอายุตั้งแต่ศูนย์ถึงแปดขวบ เป็นช่วงที่กระดูกกำลังเริ่มสร้าง ก็ต้องเสริมให้เขา หากเขาไม่เล่นกีฬาอะไรเลย การเติบโตอาจจะเหมือนกับเราตอนเด็ก ๆ ที่ไม่ได้เล่นกีฬา นมก็ไม่ได้ดื่ม ก็เลยไม่โต ทุกวันนี้เวลาไปว่ายน้ำ ลูกสาวก็จะแซวแม่ตลอด เพราะแม่ว่ายน้ำเป็นแค่ข้ามฝั่ง ว่ายไม่เป็นท่า ลูกก็จะบอกว่า ที่แม่อยากให้หนูเข้าทีมว่ายน้ำ เพราะแม่ว่ายน้ำไม่เป็นใช่มั้ย ลูกก็จะแซวแบบนี้ตลอดเวลาเห็นแม่ว่ายน้ำ บางครั้งลูกสาวก็จะมาสอนว่ายน้ำว่าต้องทำอย่างนี้บ้าง ต้องเตะขาบ้าง - ถ้าจะต้องตามนายกรัฐมนตรีไปปฏิบัติภารกิจที่ต่างจังหวัดและต่างประเทศ จะบอกกับลูกว่าอย่างไร ลูกเข้าใจเพราะก่อนที่จะมาทำงานการเมือง สมัยที่เป็นอาจารย์ทำงานเยอะมาก เป็นกรรมการ เป็นที่ปรึกษาประมาณ 12 ที่ ตอนนั้นวันเสาร์- วันอาทิตย์ จะไม่มีเวลาเลย และยังต้องสอนพิเศษที่นิด้าด้วย ซึ่งตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราคิดว่า จะทำอย่างนี้ต่อไปเพื่ออะไร ถึงมีรายได้เยอะ แต่กลับไม่มีเวลาให้กับครอบครัว ฉะนั้นหากจะต้องตามนายกรัฐมนตรีไปปฏิบัติภารกิจที่ต่างจังหวัด หรือต่างประเทศ ลูกก็จะเข้าใจ ส่วนเรื่องการดูแลสามีก็ดูแลลูกได้ อย่างเมื่อก่อนตอนที่เป็นอาจารย์ งานไหนที่พอจะพาลูกไปได้ ก็จะพาไป แต่พอมาทำงานการเมือง สามีก็บอกอย่าพามาเลย เพราะต้องการให้ลูกมีความเป็นส่วนตัว ออกมาสู่สาธารณะจะไม่ดี - มีความเห็นอย่างไรกับการโพสโซเชียลมีเดียในเรื่องของครอบครัว เราลองมาคิดเทียบกับเราตอนอายุ 5-6 ขวบ เรายังไม่ได้เลือกว่าเราจะไปสู่สาธารณะหรือไม่ แล้วพ่อแม่กลับโพสต์เฟซบุ๊กไปทั่ว พอโตมาลูกอาจจะบอกว่าทำไมแม่ทำแบบนี้เพราะลูกไม่อยากจะเปิดเผยก็ได้ อย่างเรื่องโซเชียลมีเดีย ในอดีตอาจารย์ไม่เคยเล่น เพราะคิดว่าถ้าจะมีโซเชียลมีเดียก็จะเป็นแต่เรื่องงาน หากเป็นเรื่องของครอบครัวก็ถ่ายเก็บไว้ดูเองก็พอแล้ว ไม่ต้องไปเปิดให้ชาวโลกรู้ว่า เราไปกินข้าวกันที่ไหน เที่ยวที่ไหนบ้าง แต่ตนก็ไม่ได้มีความคิดไปขัดกับคนที่เปิดเผย แต่สำหรับตัวเราเองคิดว่า เรื่องของครอบครัวเป็นเรื่องส่วนตัว -ข้อความที่จะฝากถึงในวันแม่ปีนี้ สำหรับคุณแม่ทุกคน อยากฝากข้อความคือ ขอให้กำลังใจคุณแม่ทุกคนที่ต้องทำงานหนัก และจะต้องรับผิดชอบด้วยความคาดหวังของตัวเองและสังคม ที่ต้องผิดชอบงานตัวเองและครอบครัว ก็อยากจะฝากทุกท่าน ว่าขอให้เดินสายกลาง เราไม่จำเป็นจะต้องเป็นแม่ที่ไปแข่งกับใคร ไม่ต้องไปเป็นซุปเปอร์มัมแข่งกัน ทำเท่าที่ตัวเองสามารถที่จะทำได้และไม่ทำให้เกิดความเครียด เพราะหากเราอยากจะทำทุกอย่างให้ดีทั้งหมด อาจจะเกิดความเครียดได้ ซึ่งก็จะส่งผลให้เกิดพลังงานด้านลบไปสู่คนที่อยู่ใกล้ตัวเรา สำหรับลูก ก็ขอฝากให้ลูกทุกคนคำนึงถึงความรักที่คุณแม่มีให้ ซึ่งคงไม่มีคำบรรยายเพราะทุกคนทราบดีอยู่แล้ว เมื่อตัวเองมีลูกก็จะรู้ว่า คนที่เป็นแม่เสียสละได้เยอะมากเดิมก่อนที่ยังไม่มีลูก เราจะแสวงหาความสุขให้ตัวเอง แต่พอมีลูก แนวความคิดก็เปลี่ยนไป เราทำอะไรก็ได้ให้ชีวิตลูกมีความสุขมากขึ้น ซึ่งเวลาเลี้ยงลูกก็บอกกับลูกและตัวเองเสมอว่า ไม่ได้ต้องการอะไรเลย แค่ต้องการให้ลูกมีความทรงจำที่ดี ว่าชีวิตใหม่วัยเด็กของเขามีความสุข เพราะตัวเอาจารย์เองก็จำความสุขในช่วงวัยเด็ก ถึงแม้บ้านเราจะไม่พร้อมมากนัก ซึ่งบางครั้งยังนั่งเล่าให้ลูก ๆ ฟังถึงความลำบากของเราในช่วงสมัยก่อน พอลูกฟังก็นั่งร้องไห้ เราอยากให้ลูกเข้าใจความลำบาก เพราะเขาเกิดมามีพอสมควร เขาอยู่ในสังคมที่เพื่อนๆ มีหมด เขาก็อาจจะไม่เข้าใจความลำบาก รวมถึงอยากให้ครอบครัวที่พร้อมแบ่งปันให้กับเด็กที่ด้อยโอกาส ที่ต้องการทั้งความรัก และการช่วยเหลือสนับสนุน อย่างวันแม่ในปีนี้ ถ้ามีโอกาสอาจจะพาลูกไปเยี่ยมเด็กกำพร้า เพราะเขาต้องการความรักเหมือนกัน อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล -มีสไตล์การเลี้ยงลูกอย่างไร ตอนนี้มีลูกสาว 2 คน คนโตอายุ 29 ปี และคนเล็กอายุ 27 ปี ถ้าพูดถึงสไตล์การเลี้ยงลูกเราเลี้ยงลูกแบบแนวเสรีนิยม ไม่ได้ควบคุมอะไรเขา ให้เขาตัดสินใจเอง เลือทางของเขาเอง เราแค่คอยสนับสนุน คอยเป็นโค้ชให้เขา ไม่ได้เป็นพ่อหรือแม่มากกว่า และเขาก็ไม่ได้ติดเราแจ ซึ่งการเลี้ยงลูกแบบนี้เป็นแนวใหม่ ในเรื่องการเรียนของเขา ตั้งแต่เขาเด็กๆ เราก็ไม่ได้บังคับว่าจะต้องเรียนพิเศษ อยากเน้นให้เรียนรู้นอกห้องเรียนมากกว่า เพราะนักเรียนไทยใช้เวลาอยู่ในห้องเรียนมาก ถ้าเทียบกับประเทศอื่น เรามีความรู้สึกว่าการศึกษาไทยอยู่ในห้องเรียนมากเกินไป และมีการแข่งขันกันมากเกินไป เราเป็นคนที่ชอบให้ลูกถกเถียงด้วย ไม่เคยสั่งลูก แต่จะชอบรับฟังความคิดเห็น อยากฟังแนวความคิดของเขา โดยเราให้อิสระเสรี ทั้งในด้านการเลือกเรียน หรือเลือกอาชีพ เลือกที่จะอยู่ที่ไหน เรียกว่าเสรีมาก ซึ่งบทบาทความเป็นแม่ของเรา ถึงแม้จะเลี้ยงลูกแบบสบายๆ แต่ลูกก็ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ดี ตอนนี้ลูกทั้ง 2 คนก็ประสบความสำเร็จมาก มีความสุขในชีวิต ตอนนี้เขาก็ทำงานอยู่ที่ต่างประเทศ เรียนจบปริญญาโท ได้ทุนเรียนที่ประเทศจีนและประเทศสิงคโปร์ -เห็นภาพการอภิปรายในสภาค่อนข้างดุ และจริงจัง ในส่วนของครอบครัวเป็นอย่างไร ถ้าเป็นเรื่องในบ้าน ถ้าเทียบกับคุณพ่อเขา เราก็ถือว่าเป็นแม่ที่ดุ ไม่เคยสอนการบ้านลูก สอนไม่ได้ เพราะใจร้อน ดังนั้นเรามีบทบาทที่ค่อนข้างสลับกันระหว่างพ่อกับแม่ เพราะพ่อเขาค่อนข้างใจเย็น และมีบทบาทในการดูแลรายละเอียดของลูก ถึงแม้จะใจร้อน แต่ก็ไม่ได้ลงไม้ลงมือกับเขา เราไม่ได้นิยมความรุนแรง เพียงแต่เรามีคาแรคเตอร์ที่ไม่ค่อยสนใจรายละเอียดมาก - มีลูกสาวทั้ง 2 คน เรามีความเป็นห่วงด้านไหนเป็นพิเศษ ไม่ได้มีความเป็นห่วงเรื่องไหนเป็นพิเศษ เราปล่อยเขาแบบสบายๆ ไม่ได้เรียกร้องว่าเขาจะต้องกลับบ้าน บ่อยๆ หรือต้องทำงานในเมืองไทย จะแต่งงานหรือไม่แต่งงานเราก็ไม่ได้บังคับเขา -ในฐานะที่เป็นคุณแม่ มีความคิดเห็นเรื่องการจัดงานวันแม่ตามสถานศึกษาอย่างไรบ้าง เรื่องการจัดงานวันแม่ตามสถานศึกษาเราก็ต่อต้านมาโดยตลอด ในวันแม่แต่ละปีมักได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนผู้ปกครองขึ้นไปพูดในงานวันแม่ที่โรงเรียนของลูกๆ ซึ่งโชคดีที่ลูกเราอยู่โรงเรียนเดียวกันทั้ง 2 คน แล้วถ้าเกิดคนที่มีลูกหลายคน แล้วอยู่กันคนละโรงเรียน เราก็มีคำถามเกิดขึ้นว่าแล้วแม่จะเดินทางไปอย่างไร ยิ่งตอนนี้มีประเด็นขึ้นมาว่าควรจะมีการจัดงานวันแม่ หรือวันพ่อต่อไปหรือไม่ เราคิดว่าการจัดงานดังกล่าวมันดูปลอมๆ และเราเองก็ไม่อินกับการไปนั่งให้ลูกมากราบเท้า เราก็บอกลูกว่าไม่ต้องเอาอะไรมาให้ เพราะเราอยู่ด้วยกันทุกวัน กินข้าวด้วยกันทุกมื้อ อยู่ดีๆ จะเอามะลิมากราบ เรามองว่ามันตลก