เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 9 ส.ค. ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) น.ส.ไอลดา สวัสดีมงคล อายุ 25 ปี พร้อมด้วยน.ส.ปิยาภรณ์ ศรีหาสุข อายุ 25 ปี และเหยื่อผู้เสียหายจำนวนนับ 10 ราย เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. และร.ต.ท.หญิง ตรีรัตน์ กันทาเดช รอง สว.(สอบสวน) กก.2 บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีกับเจ้าของเฟซบุ๊กชื่อ “ไม่ใช่เรื่องจริงอย่าปากดี ไม่พูดเยอะเจ็บคอ “ ภายหลังหลอกลวงเหยื่อชักชวนให้ทำศัลยกรรมได้ในราคาถูกกว่าปกติตามคลินิกสถานเสริมความงามต่างๆแต่เมื่อถึงเวลาที่กำหนดกลับไม่สามารถติดต่อได้แม้แต่อย่างใด ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 540,000 บาท น.ส.ไอลดา กล่าวว่า ตนกับน.ส.ศศิธร หรือตี้ ธรรมบุตร อายุ 22 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของเพจดังกล่าว โดยอ้างตัวว่าเป็นพนักงานขายคอร์สผ่าตัดเสริมความงาม ได้รู้จักกับตนผ่านทางนายแสวง หรือแสวง ปลั่งกลาง อายุ 33 ปี ซึ่งเป็นพี่ชายของเพื่อนตนที่รู้จักกันมานานและทั้งคู่เป็นแฟนกัน ก่อนฝ่ายหญิงจะชักชวนให้ตนหาลูกค้าทำศัลยกรรมหน้าอกหากมีคนสนใจจะสามารถผ่อนได้ในราคาเดือนละประมาณ 3-4 พันบาทเท่านั้น แต่ต้องมีค่าวางมัดจำในการจองคิว ซึ่งขณะนั้นตนได้ตอบไปว่าไม่มีฐานลูกค้า จากนั้นน.ส.ศศิธร จึงแอทเพื่อนของตนในเฟซบุ๊กทั้งหมดก่อนมีการทักไปหาเพื่อเชิญชวนทำศัลยกรรมโดยใช้รูปโปรไฟล์ที่สวยซึ่งเป็นหน้าจริง ก่อนมาทราบภายหลังว่าเพื่อนในเฟซบุ๊กตนถูกหลอกให้วางเงินค่ามัดจำจึงตัดสินใจพาเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นแม้แต่อย่างใด ด้านน.ส.ปิยาภรณ์ เปิดเผยว่า โดยก่อนหน้านี้เจ้าของเฟซบุ๊กดังกล่าวได้ทักเข้ามาหาตนพร้อมทั้งชักชวนให้ทำศัลยกรรมหน้าอก โดยเสนอโปรโมชั่นในราคาที่ถูกกว่าปกติและสามารถผ่อนจ่ายแบบรายเดือนได้ เมื่อตนเกิดความสนใจจึงสอบถามถึงรายละเอียดก่อนได้ข้อมูลว่า ราคาทำหน้าอกอยู่ที่ 4 หมื่นกว่าบาท โดยครั้งแรกจ่ายค่ามัดจำในราคา 2 หมื่นบาท จากนั้นผ่อนในราคาเดือนละ 3,500 ต่อเดือนรวมทั้งสิ้น 11 งวด ซึ่งวัสดุเป็นเนื้อทราย ก่อนหว่านล้อมให้รีบตัดสินใจซึ่งออกอุบายว่าโปรโมชั่นจะหมดเขตและมีคนจองเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังสามารถเลือกคลินิกได้รวมทั้งหมด 4 แห่ง ประกอบด้วยสกายเมดคลีนิค เบลล์คลินิก ไอดอลคลินิก และลัดดาคลินิก ซึ่งจากการตรวจสอบสถานที่ต่างๆก็พบว่ามีอยู่จริงและถูกต้องตามกฎหมาย จึงตกลงโดยการโอนเงินไปให้ก่อนจำนวน 2 หมื่นบาท ต่อมาประมาณ 1 อาทิตย์ เจ้าของเฟซบุ๊กได้ติดต่อมาหาตนอีกครั้งพร้อมทั้งเสนอให้โอนอีก 2 หมื่นบาท จะลดราคาให้โดยไม่ต้องผ่อนต่อและนัดวันทำได้เลย และเปลี่ยนวัสดุเป็นเนื้อนมของโมติวาซึ่งเป็นวัสดุชั้นดีและไม่ต้องนวด น.ส.ปิยาภรณ์ เผยต่อว่า ตนได้ศึกษาเนื้อวัสดุนี้มาเป็นอย่างดีแล้วก่อนที่จะตัดสินใจตอบตกลงไป พร้อมทั้งนัดกันทำวันที่ 31 ก.ค. ที่คลินิกสกายเมด แต่เมื่อถึงเวลาที่กำหนดกลับได้รับคำตอบว่าสถานเสริมความงามนั้นหยุดจึงเลื่อนไปวันที่ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา จนกระทั่งเวลา 11.00 น. ตนได้โทรศัพท์ติดต่อไปหาแต่ได้รับการบ่ายเบี่ยงว่าหมอไม่เข้า จึงเกิดความแปลกใจว่าเป็นเซลล์แต่ทำไมถึงไม่จองคิวให้และเห็นความผิดปกติหลายอย่างจึงขอเงินคืนจนได้รับคำตอบว่าจะคืนให้ทั้งหมดแต่ก็ไร้วี่แวว และมาทราบภายหลังว่าผู้ต้องหามักแอบอ้างสถานเสริมความงามต่างๆเพื่อให้เกิดความเชื่อถือจึงตัดสินใจเดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ทั้งนี้ผู้ต้องหายังหลอกเหยื่ออีกหลายรายรวมทั้งหมด 37 ราย ซึ่งถูกหลอกตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่นบาทโดยการโอนเงินเข้าบัญชีทั้งของน.ส.ศศิธร และนายแสวง จึงรวบรวมพยานหลักฐานก่อนพากันเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์ต่อบก.ปอท. ต่อมาเมื่อเวลา 12.00 น. น.ส.วราพัสวีร์ สวนเวียง เจ้าของเบลล์คลินิก ให้ข้อมูลว่า โดยก่อนหน้านี้ผู้ต้องหาเคยเป็นเอเจนซี่นำลูกค้ามาให้ที่คลินิก ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทางคลินิกได้ประสบปัญหาต้องรอเงินลูกค้าโดยนัดเข้ามาทำศัลยกรรมพร้อมทั้งโอนเงินใน 14.00 น. แต่กว่าจะโอนได้ต้องรอจนถึงเวลา 18.00 น. ซึ่งทางคลินิกไม่สามารถทำได้เนื่องจากต้องรอเงินเข้ามาให้ครบตามจำนวนจนถึงขั้นถูกลูกค้าตำหนิในความล่าช้า จึงขอยกเลิกไม่รับงานจากบุคคลนี้ตั้งแต่วันที่ 26 มิ.ย. พร้อมทั้งประกาศหน้าเพจว่า ทางคลินิกไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลดังกล่าวแม้แต่อย่างใด จนกระทั่งมีลูกค้าบางรายได้ติดต่อสอบถามเข้ามาว่ามีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้น รวมทั้งเอาข้อมูลของคลินิกไปขายโดยการหลอกลวงว่าทำตาพร้อมจมูกในราคาเพียงแค่ 1 หมื่นบาท ซึ่งแท้จริงแล้วในความเป็นจริงไม่สามารถทำได้ ทางคลินิกจึงแจ้งความดำเนินคดีไว้ตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค. ที่ผ่านมา ก่อนมาทราบว่ามีผู้เสียหายถูกหลอกในลักษณะดังกล่าวเป็นจำนวนมากจึงตัดสินใจเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนบก.ปอท. เพื่อชี้แจงพร้อมทั้งแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าทางคลินิกไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้น ด้านพ.ต.อ.ศิริวัฒน์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบพฤติการณ์ของผู้ต้องหาแสดงตัวเป็นนายหน้าโดยหลอกเหยื่อว่าสามารถติดต่อคลินิกสถานเสริมความงามได้ในราคาถูกกว่าความเป็นจริง เมื่อเหยื่อเกิดหลงเชื่อจึงหนีหายไป อยากฝากเตือนพี่-น้อง ประชาชนหากอยากเสริมความงามควรจะไปติดต่อที่คลินิกโดยตรงอย่างน้อยยังได้รับรู้ถึงรายละเอียดจากทีมแพทยผู้เชี่ยวชาญ อาจจะจ่ายแพงกว่าแต่ไม่ถูกหลอกอย่างแน่นอน โดยเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานหากตรวจพบว่ามีความผิดจริงจะดำเนินคดีในข้อหาผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับ 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และฉ้อโกง ก่อนประสานไปยังสถานีตำรวจพื้นที่จุดเกิดเหตุเพื่อติดตามจับกุมตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป