จากกรณีที่ นายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรและสหกรณ์ เผยมีกลุ่มนักธุรกิจของสหรัฐฯที่ผลิตยาจากกัญชาสนใจใช้ไทย ร่วมเป็นฐานปลูกกัญชาสายพันธุ์ดีที่สุดในโลกเพื่อผลิตยา ป้อนคนไข้ 20 ล้านคน พร้อมเตรียมพาเข้าพบ นายอนุทิน ชาญวีรกุล รมว.สาธารณสุข ในวันที่ 30 ก.ค.นี้ “BIOTHAI” มูลนิธิชีววิถี ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุ “ย้อนรอย "ประภัตร โพธสุธน" ในปี 2551 ในช่วงเกิดวิกฤติอาหารทั่วโลก ข้าวราคาแพงเป็นประวัติการณ์ เขาได้ให้สัมภาษณ์ระหว่างนำเศรษฐีซาอุฯเข้าเยี่ยมชมการทำนาที่ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรีว่า “นัก ธุรกิจซาอุฯ กลุ่มนี้เห็นว่าข้าวไทยมีชื่อเสียง คนรู้จักทั่วโลก ถ้ามีการจัดการอย่างเป็นระบบตั้งแต่การผลิตจนถึงการส่งออก การลงทุนจะคุ้มค่า” "รูปแบบการลงทุนเบื้องต้นหารือกันไว้ อาทิ ทำนาร่วมกับคนไทย การขอเช่าที่ดินทำนา หรือการส่งข้าวออกขายต่างประเทศร่วมกัน ซึ่งเขาขอศึกษารายละเอียดในข้อกฎหมายไทยด้วยว่าทำได้มากน้อยแค่ไหน" "ขณะนี้ได้มีการตั้งบริษัท รวมใจชาวนา ขึ้นมา โดยมีนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกข้าว และเกษตรกร ร่วมเป็นกรรมการ จุดประสงค์ก็เพื่อรับจ้างทำนาทั่วประเทศ ในฐานะผู้มีประสบการณ์ คิดค่าจ้าง 1 ไร่ 5,000 บาท และบริษัท รวมใจชาวนา นี้จะทำงานรองรับการเข้ามาลงทุนของนักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบียด้วย" จับตาว่า หลังการพาเศรษฐีชาวสหรัฐ 10 คน เข้าพบนายอนุทิน ชาญวีรกุล ในวันนี้ (30/7/2562) เพื่อขอเข้าร่วมลงทุนปลูกและพัฒนาสายพันธุ์กัญชาในประเทศไทย ผลจะออกมาเช่นไร ? ในขณะที่ผู้ป่วยถูกกีดกันไม่ให้ปลูกกัญชาเพื่อรักษาโรค หมอพื้นบ้านถูกสกัดกั้นไม่ให้ปลูกปรุงและแจกจ่ายยากัญชา และเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่ได้รับอนุญาตให้ปลูกพืชนี้เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งกำกับดูแลกรมสำคัญๆ กลับเปิดตัวสร้างภาพการเริ่มภารกิจของตนด้วยการพากลุ่มทุนต่างชาติเข้าพบรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้กลุ่มดังกล่าวสามารถเข้ามาปลูกและแสวงหาประโยชน์จากกัญชาในประเทศไทย สำหรับนักการเมืองบางคน ไม่ว่าเวลาผ่านไปเท่าใด...ไม่เคยเปลี่ยนแปลงจริงๆ !”