อีกหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่และสวยงามจนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวผู้รักการผจญภัย สำหรับ ภูเขาไฟโบรโม่ (Bromo) และ ภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยน (Kawah Ijeh) ในประเทศอินโดนีเซีย ที่ติดอันดับสถานที่ต้องห้ามพลาดและควรค่าแก่การไปสัมผัสให้เห็นกับตาสักครั้งในชีวิต ดินแดนแห่งความลึกลับ เริ่มต้นจุดแรกที่ใครมา ภูเขาไฟโบรโม่ ต้องห้ามพลาด จุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น ที่ภูเขาพานันจากัน (Mount Penanjakan) เป็นท็อปวิว ที่ความสูง 2,700 เมตรจากระดับน้ำทะเล ที่นี่นอกจากจะเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ช่วงฟ้ามืดสนิทก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ยังจะได้ฟินกับภาพบรรยากาศทางช้างเผือกพาดผ่านบนท้องฟ้า ระยิบระยับไปด้วยดาวดวงเล็กดวงน้อยหลายล้านดวง ตระการตาแบบสุดๆ และเมื่อแสงทองจากดวงอาทิตย์ค่อยๆ ส่องสว่าง ภาพที่ทำให้ตะลึงตรงหน้าคือการรวมตัวของกลุ่มภูเขาไฟที่ตั้งตระง่านแบบพาโนรามาทั้ง ภูเขาไฟบาต็อก (Batok) ภูเขาไฟ เซเมรู (Semeru) และพระเอกของที่นี่ คือ ภูเขาไฟโบรโม่ ที่โชว์ความสง่างามอลังการ ให้นักท่องเที่ยวได้ดื่มด่ำคุ้มค่ากับการเดินทางเป็นที่สุด จาก จุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น นั่งรถจี๊ปมาสักพักก็จะถึง ทะเลทรายสีดำ ซึ่งเกิดจากการทับถมของเถ้าถ่านและฝุ่นผงที่ แผ่กระจายล้อมรอบ จากการระเบิดของภูเขาไฟโบรโม่และภูเขาไฟบาต็อกที่ตั้งอยู่ติดกัน โดยระหว่างทางเดินไปยังตีนเขากว่า 2 กิโลเมตร จะมีหมอกปกคลุมจนแทบมองไม่เห็นทาง ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าสู่ดินแดนลึกลับของภูเขาไฟโบรโม่ ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของศาสนาฮินดู ยิ่งทำให้ทะเลทรายแห่งนี้มีเสน่ห์แปลกตา และดูน่าค้นหามากขึ้นไปอีก สำหรับ ภูเขาไฟโบรโม่ ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติโบรโมเทงเกอร์เซเมรู มีความสูง 2,329 เมตร และด้วยเหตุที่เป็นภูเขาไฟที่ยังดับไม่สนิท ยังคงมีการปะทุและมีควันพวยพุ่งขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา พร้อมเสียงคำรามที่ดูน่ากลัว ชาวอินโดนีเซียจึงเปรียบภูเขาไฟแห่งนี้ว่าเป็น ลมหายใจของเทพเจ้า ถ้ามาถึงโบรโม่ อีกอย่างที่ควรลองคือ การขี่ม้าที่มีแบคกราวด์เป็นวิวสวยๆ คูลๆ สุดอลังที่หาที่ไหนไม่ได้ ซึ่ง ภูเขาไฟแห่งนี้เต็มไปด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจและน่าเกรงขาม เหมือนดั่งเสียงคำรามที่ดังก้องออกมาจากปล่องภูเขาไฟ มองจากข้างล่างยังน่าตื่นเต้นขนาดนี้ ถ้าได้ขึ้นไปเห็นด้านบนมันจะสุดยอดขนาดไหน อีกทั้งถ้า ภูเขาไฟโบรโม่ มีเสน่ห์ ยิ่งใหญ่อลังการน่าค้นหา ภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยน ก็คือที่สุดของความงดงาม น่าทึ่ง และท้าทายกับความมหัศจรรย์ของปรากฏการณ์ เปลวไฟสีน้ำเงิน (ฺBlue Fire) ซึ่งสามารถมองเห็นได้เฉพาะในเวลากลางคืนเท่านั้น ที่ต้องให้นิยามคำว่า ที่สุดกับภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยนแห่งนี้ เพราะนอกจาก เปลวไฟสีน้ำเงิน ที่เป็นสุดยอดความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติแล้ว ที่นี่ยังเป็นเหมืองกำมะถันที่อันตรายที่สุด และมีทะเลสาบสีเขียวมรกตขนาดใหญ่ (SULFER LAKE) ที่มีความเป็นกรดสูงที่สุดในโลกอีกดัวย ฟังแล้วอย่างเพิ่งถอดใจจากภูเขาไฟคาวาอิเจี้ยนเด็ดขาด เพราะจะพลาดโอกาสเห็นสิ่งสวยงามที่หาชมได้ยาก และน่าประทับใจที่จะติดตราตรึงใจไปอีกนานเท่านาน สวยงามจนน่ามหัศจรรย์ ซึ่งการได้สัมผัสใกล้ๆ เปลวไฟสีน้ำเงิน แม้จะเป็นความสวยงามน่ามหัศจรรย์ ชวนให้หลงไหล แต่ก็ยังแฝงด้วยอันตรายจากควันที่เกิดการจากเผาไหม้ของกำมะถันปริมาณที่สูงมาก ลอยคละคลุ้งจนอาจทำให้แสบตาแสบจมูก ดังนั้นการสวมอุปกรณ์ป้องกันจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับการมาดูเจ้าเปลวไฟสีน้ำเงินแห่งนี้ อีกจุดที่เป็นไฮไลท์ต้องรอชมใกล้เวลารุ่งสาง เมื่อพระอาทิตย์ค่อยๆ เริ่มส่องแสงสว่างยามเช้า เปลวไฟสีน้ำเงินค่อยๆ หายไป ฉากหลังก็ปรากฎเป็นภาพของทะเลสาบสีเขียวมรกตขนาดใหญ่ เหมือนได้ก้าวเข้ามาอยู่ในโลกใต้พิภพยังไงอย่างนั้น เป็นความงดงามสุดแสนประทับใจจนอยากจะหยุดเวลาเอาไว้ที่นี่ สำหรับความสวยงามที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ใครจะรู้ว่าภายใต้ภูเขาไฟแห่งนี้กลับกลายเป็นแหล่งสร้างเงินสร้างอาชีพของชาวบ้าน ด้วยการขุดเจาะกำมะถันและแบกลำเลียงออกไปขาย ซึ่งน้ำหนักแต่ละรอบที่ขนก็ไม่น้อยกว่า 70-80 กิโลกรัม เห็นแล้วก็อดตะลึงไม่ได้ว่า แบกขึ้น-ลงกันได้ยังไง คงเหมือนกับที่เขาว่ากันว่า ที่อันตรายที่สุดก็อาจเป็นที่ๆ คุ้มค่าที่จะเสี่ยงเพื่อเลี้ยงชีพของชาวบ้านแถบนี้ก็ได้ สมกับการได้รับฉายา ทองคำของปีศาจ ธรรมชาติแห่งขุนเขา จุดนี้ถ้าใครได้มาเยือน ภูเขาไฟคาวาอิเจี้ยน แล้วไม่อยากลงไปดูเปลวเพลิงสีน้ำเงินหรือทะเลสาบสีเขียวมรกตใกล้ๆ สามารถยืนชม และถ่ายรูปจากด้านบนของปล่องภูเขาไฟก็ได้ ซึ่งด้านบนบรรยากาศดี ล้อมรอบด้วยภูเขาที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกและต้นไม้เขียวขจี ให้ความเป็นธรรมชาติสุดๆ ม้การมาภูเขาไฟโบโม่ – คาวาอิเจี้ยน ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากและลำบากจนเกินไปนัก การได้มาพิชิตปล่องภูเขาไฟ ถือเป็นอะไรที่ท้าทาย สนุก ตื่นเต้น เหมาะจะเป็นจุดหมายครั้งหนึ่งในชีวิต ที่จะสร้างประสบการณ์อันแสนวิเศษจากการเดินทาง