เมื่อเวลา 14.00 น.ภายหลังจากที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) รับดอกไม้แสดงความยินดีเนื่องในโอกาสที่ร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ส่งนางฐะปาณีย์ อาจารวงศ์ รองเลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรีมามอบดอกไม้ให้นายมีชัย
ต่อมาประธาน กรธ.ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่าในวันที่ 9 ส.ค. ตนจะไปประชุมร่วมกับ คสช. เพราะว่าตนก็เป็นหนึ่งใน คสช. เช่นกัน โดยตนคาดว่าเหตุที่ต้องมีการประชุมในวันที่ 9 ส.ค.นั้นคงเป็นเพราะว่า พล.อ.ประยุทธ์ ร้อนใจเพราะต้องการให้กำหนดการต่างๆ เดินหน้าไปตามโรดแมพที่ คสช.ได้กำหนดเอาไว้ ขอเรียนว่าทันทีที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้ ระยะเวลาจะบีบคั้นมาก เพราะว่า กรธ.จะมีเวลา 240 วัน เพื่อจัดทำ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ โดยกฎหมายที่จะทำเป็นอย่างแรกคือกฎหมายที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ทั้งนี้ กรธ.จะได้ติดต่อไปยังองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เขาจัดทำกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ก่อนที่ กรธ.จะเริ่มพิจารณา พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยองค์กรอิสระด้วย
นายมีชัยกล่าวต่อว่า กรธ.ก็มีหน้าที่จะต้องแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้สอดคล้องกับคำถามพ่วงประชามติ ซึ่งในขณะนี้ กรธ.ก็กำลังรอคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศผลการลงประชามติอย่างเป็นทางการก่อน จึงจะสามารถดำเนินการปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญภายในระยะเวลา 30 วันได้ จากนั้นจึงส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาภายใน 30 วัน แล้วจึงส่งไปยังนายกรัฐมนตรีเพื่อให้ดำเนินการนำขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อประกาศใช้ต่อไป ภายในระยะเวลา 30 วัน
เมื่อถามว่า กรธ.จะมีการพูดคุยกับฝ่ายที่เสนอคำถามประกอบประชามติหรือไม่ เพื่อหาแนวทางในการแก้ร่างรัฐธรรมนูญ นายมีชัยกล่าวว่าคงต้องหารือกับ กรธ.ก่อนถ้าหากมีปัญหาในการ
ปรับแก้ตรงไหนก็คงจะไปคุยกับเขา เท่าที่ตนดูในขณะนี้นั้น ความหมายของคำถามพ่วงระบุชัดเจนว่าในช่วง 5 ปีแรก จะให้นายกรัฐมนตรีมาจากการประชุมลงมติเลือกร่วมกันของทั้ง ส.ส. และ ส.ว.เท่านั้น ซึ่งตนเข้าใจหลักการว่าคงใช้เสียงข้างมากของทั้งสองสภาเพื่อเลือกตัวนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม ตนขอเรียนว่าในการกำหนดหาตัวนายกรัฐมนตรีนั้น ส.ว.ไม่มีหน้าที่เสนอชื่อนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด แต่จะเป็น ส.ส.ที่จะเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากบัญชีรายชื่อแคนดิเดตของพรรคการเมืองที่เสนอก่อนการเลือกตั้ง
นายมีชัยกล่าวต่อว่าอย่างไรก็ตามตอนนี้มีปัญหาที่ต้องคิดก็คือว่า ตามบทเฉพาะกาลของร่างรัฐธรรมนูญระบุว่าในการเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งแรกโดยที่ประชุม ส.ส.นั้น ถ้าหากที่ประชุม ส.ส.ไม่สามารถหาตัวนายกรัฐมนตรีจากบัญชีรายชื่อแคนดิเดตของพรรคการเมืองที่เสนอก่อนการเลือกตั้ง ก็ให้รัฐสภาโดย ส.ว.มาร่วมประชุมเพื่อให้มีข้อยกเว้นให้ ส.ส.และ ส.ว.ร่วมกันเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองด้วยได้ ดังนั้นปัญหาก็คือว่าเมื่อคำถามพ่วงผ่านประชามติแล้ว นายกรัฐมนตรีก็จะมาจากที่ประชุมทั้งสอง ก็หมายความว่า ส.ว.จะร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับ ส.ส. ได้ตั้งแต่ครั้งแรกเลย แล้วจะทำอย่างไร ถ้าหากที่ประชุมของทั้งสองสภาไม่อาจจะเลือกนายกรัฐมนตรีได้ในครั้งแรก จะต้องให้กลับมาที่สองสภานั้นอีก เพื่อจะให้มีข้อยกเว้นหรือไม่ และถ้าหากไม่มีบทเฉพาะกาลที่ระบุให้ ส.ส.และส.ว.ร่วมกันโหวตเพื่อหานายกรัฐมนตรี กรธ.ก็ต้องเปิดช่องให้มีขึ้นมา ขอเรียนว่า กรธ. ต้องมาคิดให้รอบคอบและละเอียด เพราะ กรธ.เมื่อคิดอย่างหนึ่งแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญอาจจะคิดไปอีกอย่างหนึ่งก็ได้ และถ้าเขาไม่เห็นด้วยก็คงจะท้วงกลับมา กรธ.ก็ต้องแก้ไขไปตามระยะเวลา 15 วัน อย่างไรก็ตามตนเวลาที่มีนั้นเพียงพอกับการทำงานที่เหลืออยู่
เมื่อถามว่าการในช่วงเวลา 5 ปี ตามบทเฉพาะกาลนั้นการเลือกนายกรัฐมนตรีจะกระทำได้กี่ครั้ง นายมีชัยกล่าวว่ากี่ครั้งก็ได้ ในระยะเวลา 5 ปี สำหรับกรณีที่นายกรัฐมนตรีที่ถูกเลือกเป็นคนสุดท้ายในช่วงบทเฉพาะกาลยังมีผลอยู่นั้น เขาก็สามารถดำรงตำแหน่งได้ต่อไปตามสิทธิของเขา แม้ว่าในช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งอยู่ จะหมดเวลาบังคับใช้ของบทเฉพาะกาลแล้วก็ตาม แต่ขอเรียนว่า ส.ว.นั้นคงไม่ได้ตามเป็นพี่เลี้ยงให้กับนายกรัฐมนตรีโดยตลอดเวลา ถ้านายกรัฐมนตรีไม่ได้มาจากเสียงข้างมากที่ได้รับการยอมรับนั้น ตนเชื่อว่าเขาคงอยู่ได้ไม่กี่เดือนก็ไปแล้วเพราะไม่ได้รับการยอมรับ
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ที่รัฐธรรมนูญอาจจะถูกแก้ได้ในช่วง 5 ปีแรก นายมีชัยกล่าวว่าไม่กังวล ถ้าเขาเห็นดีเห็นงามร่วมกันเพื่อจะแก้รัฐธรรมนูญก็แก้ได้ แต่ในบางเรื่องนั้น กรธ.เห็นควรให้ไปทำประชามติ เนื่องจากกลัวว่าจะไปแก้ไขในมาตราที่เกี่ยวกับการป้องกันการทุจริต