วันที่ 27 ก.ค.ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก แสดงความเห็นถึงการอภิปรายนโยบายรัฐบาลที่ผ่านมาว่า...กลยุทธ์ล้มรัฐบาล การอภิปรายที่สภาวันก่อนไม่ได้มีอะไรใหม่หาสาระที่ประชาชนจับต้องไม่ได้ ยังคงเป็นการสะกิดอดีต ตอบโต้ ประท้วง ยั่วยุให้โมโห ใช้ลีลาประกอบ แล้วหาช่องทิ่มแทง เป็นเรื่องปกติที่ทุกสมัยทำกันหากคิดจะเล่นของแรงเขย่ารัฐบาลได้ ต้องมีข้อมูลลับ ชนิดชาวบ้านอ้าปากค้าง ต้องให้สังคมเชื่อฝ่ายค้านมากกว่ารัฐบาล ตอนนี้เรียกว่าแค่ประลองกำลังหยั่งเชิงกันเฉยๆ ไม่มีอะไรในกอไผ่จึงขอแนะนำ จากอดีตฝ่ายค้านที่เคยอภิปรายวันแถลงนโยบายจนรัฐบาลจุกอก ดังนี้ 1. หลักฐานเด็ด ที่ข้าราชการประจำต้องให้ความร่วมมือ (เป้าหมาย) 2. ประเด็นที่กระทบจิตใจของสังคม ทำให้สาธารณชนตระหนัก (หัวใจ) 3. ผู้นำเสนอ ต้องมีแรงกระตุกที่รุนแรงด้วยลูกล่อลูกชนที่ครบเครื่อง (เครื่องมือ) ทั้งสามอย่างต้องประกอบกันด้วยสัดส่วนที่ลงตัวคือแรงสั่นสะเทือนที่หัวหน้ารัฐบาลต้องระวังตัว ยิ่งระวังมาก โอกาสที่ลิ่วล้อจะทำพลาดก็ยิ่งมาก ตามประสาการเมืองไทย ในอดีตวันอภิปรายนโยบายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ผมได้นำเสนอเรื่องบ่อนการพนันใหญ่ใจกลางถนนรัชดาภิเษก มีคนเข้าไปเล่นวันหนึ่งๆ เกือบพันคนไม่ต่างจากมาเก๊า โต๊ะพนันเรียงกันเป็นตับ ทั้งบาคาร่า ไฮโล ตู้สล็อต โดยมีหลักฐานเด็ดเป็นคลิปวิดีโอชัดเจน ตรงเป้าหมายตามข้อที่ 1 เพื่อทำให้เห็นว่า ตำรวจดูแลไม่ทั่วถึง หรือมีไฟเขียวให้เปิดได้แม้มีคนเตือนผมว่าที่นี่ของแรง อย่าบังอาจไปแตะ แต่ผมไม่เชื่อ มั่นใจว่าเป็นพวกแอบอ้างมากกว่า จึงต้องลองของ เพราะของยิ่งแรง รัฐบาลยิ่งพัง จึงส่งสายลับกล้าตายแฝงตัวไปถ่ายคลิปเป็นหลักฐานแต่ผมขาดความร่วมมือจากข้าราชการประจำ (แน่นอนว่าหากตำรวจดีๆ ในยุคนั้นให้ความร่วมมือ หรือหากยุคนี้มีทหาร หน่วยราชการอื่นๆ ดีๆ ช่วย ผลออกมาต้องพังมากกว่านี้หลายเท่าทวีคูณ)หลังจากผมอภิปรายเสร็จ ด้วยความเอื่อยเฉื่อย ล่าช้า โยกโย้อยู่ 3 วัน หลักฐานขนาดบ่อนทั้งบ่อน จึงไปกับขบวนรถสิบล้อที่ขนอุปกรณ์หนีทั้งคืน จนหายวับไปกับตาเป้าหมายของผมตามข้อ 1 จึงได้ผลเพียง 50% แต่ในข้อ 2 ผมได้ 100% แน่นอน เพราะเป็นเรื่องที่กระทบต่อสังคม บ่อนการพนันเป็นสิ่งที่ชาวบ้านเห็นได้ด้วยตาเปล่า แสดงให้เห็นถึงการทุจริตคอรัปชั่นของข้าราชการ อันถือว่าเป็นหัวใจให้ประชาชนได้รับรู้ ส่วนเครื่องมือในข้อ 3 ประกอบด้วยตัวผม ลีลานำเสนอ และจังหวะจะโคน อันทำให้ครั้งนั้นผมได้คะแนนความน่าเชื่อถือของข้อมูลต่อสาธารณะเกือบเต็ม 100% ทำไมคนถึงเชื่อผมมากกว่ารัฐบาล? แค่ฝ่ายค้านที่กล้าเพียงคนเดียว เชื่อเถอะครับ ว่าสามารถล้มรัฐบาลได้ แต่ฝ่ายค้านคนนั้นต้องมี 3 อย่างประกอบกันถึงจะถล่มรัฐบาลได้ไม่ว่าเรื่องไหนไม่มี 3 อย่างนี้ ก็ยากที่จะคิดไปล้มตอหากจะไปเอาเรื่องที่ชาวบ้านจับต้องไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องใกล้ตัว มันไม่มีแรงกระเพื่อมแต่อย่างใด เมื่อมวลชนไม่มี นักการเมืองพูดไปก็ไร้ความหมาย เหมือนคนดูมวย ชกไม่สนุก ไม่ต้องลุ้นตอนจบก็รู้อยู่แล้วว่าใครชนะ แต่หากขยันปล่อยหมัด แม้ว่าแพ้คะแนน แต่ชนะใจคนดู ครั้งหน้ารัฐบาลยิ่งกลัว รอจังหวะเผลอวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลไม่ล้ม แต่หมดความน่าเชื่อถือ รอนับวันเลือกตั้งใหม่