“บิ๊กป้อม”แจงซื้ออาวุธกองทัพแทนของเก่า20-30ปี ปัดคุมท่องเที่ยว ด้าน “บิ๊กช้าง”รับเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ ยันโปร่งใสตรวจสอบได้ เมื่อเวลา 15.00 น. ที่ประชุมรัฐสภา นายวิสาร เตชะธีรวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่าที่ผ่านมากระทรวงกลาโหมมีการจัดซื้อจัดจ้างอาวุธยุโธปกรณ์ของกองทัพจำนวนมาก ทั้งที่ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาภัยแล้ง เศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนยากจน และทราบข่าวจะมีการซื้ออาวุธปืนจากประเทศอิสราเอลเพิ่มอีก และไม่ต้องการให้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ กำกับดูแลงานด้านการท่องเที่ยว เพราะสมัยที่พล.อ.ประวิตร ดำรงตำแหน่งรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เคยให้สัมภาษณ์ที่มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวภายในประเทศ อาทิ เหตุการณ์ก่อจราจลในโรงแรมของคนไทยที่ประเทศเคนยา และ เหตุการณ์เรือนักท่องเที่ยวชาวจีนล่ม ที่จ.ภูเก็ต โดยเฉพาะกรณีเรือล่มนั้นพบว่าในเดือนที่เกิดเหตุตัวเลขของนักเที่ยวชาวจีนลดลงถึง 5.1 แสนคนและรายได้ด้านการท่องเที่ยวหายไปกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท พล.อ.ประวิตร ชี้แจงครั้งแรกในการประชุมรัฐสภา ถึงงบประมาณจัดซื้อจัดหายุทโธปกรณ์ของกองทัพ ว่า เป็นความจริง แต่การจัดซื้อดังกล่าวของกระทรวงกลาโหม แบ่ง 4 ส่วน ที่เกี่ยวเนื่องกับแผนจัดหายุทธศาสตร์ และอาวุธ เนื่องจากยุทโธปกรณ์ที่ใช้อยู่มีอายุกว่า 20 - 30 ปี ดังนั้นต้องเปลี่ยน ซึ่งรายละเอียดของการใช้งบประมาณ ขอให้พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจง และตนไม่ได้ดูแลการท่องเที่ยว ส่วนเรื่องเรือ และอาหาร ตนพูดเล่นแต่สื่อนำไปเขียน ส่วนกรณีเหตุการณ์เรือนักท่องเที่ยวชาวจีนล่มนั้น เป็นสิ่งที่ตนพูดจริง แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่โต ทั้งนี้ได้ชี้แจงกับคนจีนไปมหดแล้ว ว่าไม่ได้หมายความตามที่เข้าใจ จากนั้นพล.อ.ชัยชาญ ยืนยันว่าการจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ กองกองทัพนั้นไม่สูงเกินไป โดยปี 2540 มีอัตราเฉลี่ย 2.2 เปอร์เซ็นต์ต่อจีดีพี และมีการปรับลดลงทุกปี และในปีล่าสุดมีอัตราอยู่ที่ 1.2 เปอร์เซ็นต์ต่อจีดีพี ทั้งนี้การพิจารณาจัดซื้ออาวุธนั้นของกองทัพนั้นมีอัตราต่ำ หากเปรียบเทียบ เงิน 100 บาท จำนวน 47-48 บาทใช้เรื่องกำลังพล , จำนวน 23 บาท เป็นการปฏิบัติภารกิจทั่วไปและตามที่ได้รับมอบหมาย และอีกส่วน 19 บาท คือการพัฒนากองทัพ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก ขณะเดียวกันกองทัพมีอาวุธที่ผ่านการใช้งานและต้องซื้อทดแทน ซึ่งการจัดซื้อนั้นมีกระบวนการพิจารณา ผ่านคณะกรรมการ ทั้งพิจารณาตามแผน ยุทธศาสตร์ และประเมินภัยคุกคาม โดยตนยืนยันว่าการอนุมัติงบจัดซื้อนั้นโปร่งใส และตรวจสอบได้