ช่วงที่ลงปักดำ ลุยโคลน โดยเชื้อจะเข้าทางบาดแผลและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว หากไม่ได้รับการรักษาถูกต้องทันท่วงที ภายใน 36 ชั่วโมง ผิวหนังจะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ มีตุ่มน้ำพอง และหนังตาย ทำลายเส้นประสาท กระทั่งเสียชีวิตในที่สุด การรักษาต้องผ่าตัดเอาเนื้อตายออกให้หมดหรือตัดอวัยวะบางส่วนออกเพื่อสกัดเชื้อลุกลาม นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า กรณีข่าวโรงพยาบาลน่าน แจ้งเตือนประชาชนว่า ในเดือนก.ค.62 มีผู้ป่วยโรคเนื้อเน่า (Necrotizing fasciitis) หรือแบคทีเรียกินเนื้อคน เข้ามารักษาที่โรงพยาบาลน่าน 25 ราย มีอาการรุนแรงเข้ารับการรักษาในห้องไอซียู 1 ราย เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมิ.ย. มีผู้ป่วยเพียง 2 ราย แสดงให้เห็นว่ามีการระบาดของโรคเนื้อเน่า โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีประวัติไปดำนา ลุยโคลน และโดนหอย หรือเศษแก้วบาด เศษไม้ตำเท้า และไม่ได้ทำแผลหรือรักษาใดๆ เนื่องจากต้องทำนาให้เสร็จ ทำให้เชื้อโรคเข้าไปในบาดแผล และเพิ่มจำนวนจนเกิดอาการรุนแรงได้ โรคเนื้อเน่าเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดใดชนิดหนึ่งเพียงชนิดเดียว (monomicrobial) หรืออาจเป็นจากการติดเชื้อแบคทีเรียหลายๆ ชนิดพร้อมกัน (polymicrobial) ตัวอย่างของเชื้อที่พบได้ เช่น Group A Streptococcus (S. pyogenes),Anaerobicstreptococci, Coagulase-negative Staphylococcus, Enterobacteriaceae,Vibrio subspecies ซึ่งเชื้อเหล่านี้จะเข้าสู่ผิวหนังผ่านทางบาดแผล หรือรอยแตกของผิวหนัง และเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะสามารถสร้างเอนไซด์มาย่อยสลายเนื้อเยื่อในร่างกายของผู้ที่ได้รับเชื้อเข้าไป ทำให้มีการกระจายของเชื้อไปได้อย่างรวดเร็วในชั้นใต้ผิวหนังภายในระยะเวลาไม่นานนัก ทั้งนี้ โรคนี้พบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่คนที่มีโรคประจำตัวบางชนิดพบมีโอกาสเสี่ยงมากกว่าคนอื่นๆ ซึ่งโรคดังกล่าวได้แก่ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ตับแข็ง โรคมะเร็ง ไตวาย รวมถึง คนที่มีภาวะกดภูมิจากการใช้สารสเตียรอยด์ คนที่ใช้สารเสพติดฉีดเข้าเส้น คนที่มีปัญหาหลอดเลือดบริเวณขา คนอ้วน สูบบุหรี่ และคนที่ติดแอลกอฮอล์ พญ.มิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผอ.สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวว่า เมื่อได้รับเชื้อแล้วในระยะเริ่มแรกจะเริ่มมีอาการบวม แดง ปวด กดเจ็บในตำแหน่งที่ติดเชื้อ ถ้าไม่ได้รักษา ผิวบริเวณดังกล่าวจะบวมแดง หรือเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำอย่างรวดเร็วภายใน 36 ชั่วโมงหลังติดเชื้อ มีตุ่มน้ำพองที่ผิวหนัง มีการตายของชั้นใต้ผิวหนังและผิวหนังบริเวณดังกล่าว เมื่อเป็นมากขึ้นเชื้อจะทำลายเส้นประสาท ทำให้อาการปวดที่พบในตอนแรกหายไป กลายเป็นชาบริเวณผิวหนังส่วนที่ติดเชื้อตามมาแทน อาการอื่นๆ ที่พบร่วมด้วยเช่น ไข้ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัว คลื่นไส้ อาเจียน ถ้าเป็นมากอาจมีหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ กรณีไม่ได้รักษา การติดเชื้อจะแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ระบบต่างๆ ล้มเหลว ผู้ป่วยรู้สึกตัวลดลง ช็อค และเสียชีวิต การรักษาต้องรีบดำเนินการอย่างรวดเร็ว สำหรับผู้ป่วยที่สงสัยโรคนี้ควรนอนรักษาในโรงพยาบาล โดยการรักษาหลักคือผ่าตัดให้ลึกจนถึงชั้นฟาสเชีย คือชั้นพังผืดที่ห่อหุ้มชั้นกล้ามเนื้อและอวัยวะภายในของร่างกายและเอาเนื้อเยื่อบริเวณที่ตายออก ร่วมกับให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือด ซึ่งมักต้องให้ร่วมกันหลายชนิดเพื่อให้ครอบคลุมเชื้อที่ก่อโรค มีการให้สารอาหารอย่างเพียงพอในระหว่างรักษา และต้องติดตามอาการอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจเกิดตามมาได้ บางครั้งถ้าการติดเชื้อลุกลามมากอาจต้องตัดอวัยวะที่ติดเชื้อทิ้งไปเพื่อควบคุมไม่ให้การติดเชื้อลุกลามมากขึ้นได้ ดังนั้น การป้องกันการติดเชื้อโดยดูแลทำความสะอาดบาดแผลบริเวณผิวหนัง ไม่แกะเกาบริเวณผื่นหรือแผลที่มีอยู่เดิม ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญเพื่อลดโอกาสเกิดโรคดังกล่าว รวมถึงหมั่นสังเกตตนเอง ถ้าพบว่ามีบาดแผล ที่ปวดบวมแดง หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ บริเวณแผล ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อรักษาก่อนที่โรคจะลุกลามติดเชื้อรุนแรงมากยิ่งขึ้น