คอลัมน์ “ด้วยสมองและสองมือ” ทั้งคว้ารางวัลชนะเลิศและกวาดรางวัลมาหลายเวที สำหรับ “ตำรับยาสมุนไพรรักษาโรคสะเก็ดเงิน” ของกลุ่มนักศึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต นายนีโอ ยาเบศ เกตุศร นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาการแพทย์แผนไทยบัณฑิต วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการวิจัยและพัฒนาตำรับยาสมุนไพรว่า ด้วยสนใจสมุนไพรเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเลือกเรียนต่อด้านการแพทย์แผนไทย ซึ่งระหว่างที่เรียนได้เริ่มศึกษาวิจัยเกี่ยวกับน้ำมันหอมระเหยในวิชาเกี่ยวกับสุคนธบำบัด ซึ่งตรงกับมีการประกวด Startup Thailand League 2018 จึงส่งผลงานเข้าประกวดและได้รับรางวัลจากเวทีนี้ ทำให้รู้สึกมั่นใจและมีแรงบันดาลใจในการวิจัยและพัฒนาสมุนไพรมากขึ้น และถ้ามีโอกาสก็อยากส่งผลงานเข้าร่วมประกวดในเวทีต่างๆ ด้วย เพื่อหาประสบการณ์นอกห้องเรียนและเปิดโลกทัศน์ จากประสบการณ์ตรงที่ได้เห็นผู้ป่วยมีอาการทางผิวหนังของโรคสะเก็ดเงินซึ่งเป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่งที่ไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด ส่วนใหญ่จะรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันโดยรักษาแบบประคับประคองตามอาการ เช่น แก้คันด้วยครีมสเตียรอยด์ ซึ่งจะมีปัญหาผลข้างเคียงของการใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน หากเปลี่ยนมาใช้ยาสมุนไพรทางการแพทย์แผนไทยชนิดทาทางผิวหนังและไม่มีอาการข้างเคียงก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนไข้ จึงได้ร่วมกับเพื่อนในคณะอีก 2 คน คือ น.ส.ภาศิริ โยธินพนาเวศ นักศึกษาสาขาวิชาการแพทย์แผนตะวันออก และนายภูพล พิมพาแสง นักศึกษาสาขาวิชาแพทย์แผนไทย เลือกทำโครงการปัญหาพิเศษเรื่องนี้ โดยมีอาจารย์ที่ปรึกษาคือ รศ.ดร.ภก.สุรพจน์ วงศ์ใหญ่ และ ภญ.ยุพาภรณ์ สำเภาพันธ์ ทั้งนี้ ได้เริ่มศึกษาและคัดเลือกตำรับยาสมุนไพรต่างๆ จากคัมภีร์แพทย์แผนไทย จนมาพบตำรับยาสมุนไพรรักษาโรคสะเก็ดเงินจากศิลาจารึกวัดโพธิ์ที่เป็นยาดองและใช้ทาบริเวณผิวหนังที่คัน ตำรับยานี้มีส่วนประกอบตัวยาสมุนไพร 9 ชนิด ซึ่งวิธีการเตรียมในรูปแบบยาดองเหล้าอาจจะไม่สะดวกในยุคปัจจุบัน จึงได้คิดพัฒนาด้วยการใช้เทคโนโลยีสมุนไพรโดยมีการสกัดเข้มข้นและพัฒนาในรูปแบบยาครีมที่มีการควบคุมคุณภาพมาตรฐานตั้งแต่วัตถุดิบ สารสกัด และยาสำเร็จรูป ที่ยังคงคุณค่าด้านประสิทธิผลและความปลอดภัยเหมือนกับตำรับยาดั้งเดิม พร้อมกับมีการทดสอบเบื้องต้นโดยนำมาจ่ายแก่ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินที่หมดหวังจากยาสเตียรอยด์ที่คลินิกโดยแพทย์แผนปัจจุบันและพบว่าได้ผลดี ทั้งนี้ งานวิจัยดังกล่าวได้จัดแสดงในงานเปิดศูนย์ GSB Innovation Club by GSB Startup ของมหาวิทยาลัยรังสิต ด้วยหวังว่าจะไม่ทำให้งานวิจัยต้องขึ้นหิ้ง โดยมีเป้าหมายเพื่อศึกษาวิจัยต่อจนได้เป็นยาทาพัฒนาจากตำรับยาสมุนไพรไทย ที่สามารถขึ้นทะเบียนยากับสำนักคณะกรรมการอาหารและยา และเข้าอยู่ในบัญชียานวัตกรรมไทย ซึ่งนอกจากจะทำให้ผู้ป่วยชาวไทยได้เข้าถึงยาได้ในโรงพยาบาลรัฐแล้ว ก็อาจเป็นก้าวแรกของยาสมุนไพรไทยมุ่งสู่เวทียาสมุนไพรโลกอีกด้วย อันจะเป็นการเพิ่มทางเลือกการรักษาให้แก่ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินทั้งโลกจำนวน100ล้านคน (จากข้อมูลรายงานขององค์การอนามัยโลก) การพัฒนาเป็นตำรับยาสมุนไพรในรูปแบบครีมนั้นก็เพื่อความสะดวกในการใช้สำหรับผู้ป่วยและเพื่อให้เป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ ทีมงานจึงได้ส่งผลงานเรื่อง การพัฒนาตำรับยาสมุนไพรรักษาโรคสะเก็ดเงินในรูปแบบยาทา เข้าร่วมประกวดได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดผลงานวิชาการในการประชุมวิชาการเวชกรรมไทยระดับชาติ ครั้งที่ 1 ของสมาคมเวชกรรมไทย จัดที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข โดยป็นทีมนักศึกษาเพียงทีมเดียวที่ส่งผลงานเข้าประกวดและได้รับชัยชนะ นอกจากนี้ ได้เข้าร่วมประกวดและได้รับรางวัลชมเชยจากเวทีประกวดผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจากสินค้าเกษตรไทย (Agri Plus Award 2019) จัดโดยกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ โดยมีนักศึกษาแพทย์แผนตะวันออกอีก2คน ที่มีส่วนช่วยเหลือในขั้นตอนการนำเสนอเผยแพร่ผลงานคือ น.ส.พิทยาภรณ์ รัศมีงาม ชั้นปีที่ 5 สาขาวิชาแพทย์แผนจีนบัณฑิต และน.ส.นวดารา ลืออำรุง ชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาแพทย์แผนไทยบัณฑิต น.ส.พิทยาภรณ์กล่าวว่า ภูมิใจมากที่งานวิจัยและพัฒนาสมุนไพรนี้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนและวงการแพทย์แผนไทย เพราะกว่าที่จะได้ตำรับยาสมุนไพร ต้องศึกษาวิจัยจากตำรับยาโบราณและหาสมุนไพรตามตำรับยานั้น ซึ่งค่อนข้างใช้เวลา แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือสามารถวิจัยและพัฒนาตำรับยาขึ้นมาเพื่อช่วยรักษาโรคสะเก็ดเงินได้ ด้านน.ส.นวดาราเสริมว่า ตำรับยาสมุนไพรโบราณนั้นมีสรรพคุณรักษาโรคได้ดีมาก ยิ่งถ้าศึกษาวิจัยและพัฒนายาสมุนไพรโบราณตำรับต่างๆ ด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัย ก็จะได้ตำรับยาที่มีสรรพคุณรักษาโรคได้อย่างดี ถือเป็นการสืบสานมรดกอันล้ำค่าที่ถ่ายทอดกันมาแต่บรรพบุรุษ เพราะปัจจุบันต่างชาติให้ความสำคัญและสนใจงานวิจัยสมุนไพรมาก และมีการจดสิทธิบัตรสมุนไพรบางชนิด จึงอยากให้ คนไทยตื่นตัวและตระหนักถึงความสำคัญของสมุนไพรให้มากขึ้น