สถานการณ์การส่งออกของไทย ดูเหมือนไม่ดีเท่าไรนัก เพราะจะเห็นได้ว่า บรรดากูรูและหน่วยงานทางเศรษฐกิจประกาศปรับลดประมาณการตัวเลขการส่งออกในปีนี้ลดลง จนอาจไม่ได้เห็นการเติบโตในปีนี้ แต่ถ้าพิจารณาเฉพาะกลุ่มสินค้าบางประเภทจะพบว่า มีการขยายตัวได้ดีสวนทางภาพรวมเช่น สินค้าเกษตร อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าเครื่องสำอาง รวมถึงการส่งออกชิ้นส่วนเนื้อสัตว์อยู่ในทิศทางดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะในการส่งออกไปจีน หลังจากเกิดจากโรคระบาดในสุกร หรือโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร(African Swine Fever หรือ ASF) และแพร่กระจายไปในอีกหลายประเทศ ส่งผลให้ความต้องการสูงขึ้น ดันราคาขายปรับตัวเพิ่มขึ้นทันที บริษัทไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด(มหาชน)หรือ TFG ประกอบธุรกิจหลักเกี่ยวกับการผลิตไก่ จำหน่าย ไก่สดแช่แข็งและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากไก่ ผลิตจำหน่ายสุกรและอาหารสัตว์ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่น่าจะได้รับอานิสงส์จากราคาเนื้อสัตว์ที่ปรับตัวสูงขึ้นในครั้งนี้ วินัย เตียวสมบูรณ์กิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทไทยฟู้ดส์ กรุ๊ปให้สัมภาษณ์ว่า ภาพรวมของการดำเนินธุรกิจในปีนี้ยังคงมีทิศทางเติบโตได้ดี โดยเฉพาะธุรกิจส่งออกที่ได้รับการตอบรับจากตลาดจีนอย่างคึกคัก หลังจากที่เกิดโรคระบาดแพร่กระจายไปยังประเทศเวียดนาม,ลาว และกัมพูชา ทำให้ความต้องการสุกรเพิ่มขึ้น ผลักดันให้ราคาขายปรับตัวสูงขึ้นในรอบหลายปี โดยในปีนี้คาดว่าจะเป็นปีแรกที่ปริมาณการบริโภคหมูในจีนจะน้อยลงกว่าไก่ ซึ่งจีนถือว่าเป็นประเทศที่มีการผลิต และบริโภคหมูกว่า 50%ของโลก ประมาณ 600 ล้านตัวต่อปี แต่ปีนี้คาดจะเหลือเพียง 400 ล้านตัวต่อปี หรือหายไปประมาณ 30% จากผลกระทบของโรคระบาดในครั้งนี้ ทำให้ต้องนำเข้ามากขึ้น และคนส่วนใหญ่จะหันมาบริโภคไก่มากขึ้น ซึ่งTFG ในฐานะเป็นผู้ส่งออกไก่และสุกรย่อมได้รับประโยชน์ ส่วนผลกระทบเรื่อโรคระบาดในไทยประเมินว่า ไม่น่าจะกระทบรุนแรง เพราะผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าตลาดส่วนมากกว่า 60%เป็นรายใหญ่ และมีการดูแลควบคุมเป็นอย่างดี ซึ่งในส่วนของTFG ได้มีการควบคุมความเสี่ยงไว้ในระดับหนึ่งแล้วและมั่นใจว่าจะรับมือได้อย่างแน่นอน โดยภาพรวมธุรกิจในไตรมาส 2/62 ราคาเนื้อไก่และสุกรปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 10%จากไตรมาส1/62 และคาดว่า ราคาน่าจะทรงตัวในระดับสูงต่อไป ดังนั้น แนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังอยู่ในทิศทางที่ดีต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายการส่งออกไก่อยู่ที่ 6,800 ตันเพิ่มขึ้นจากระดับ 5,500 ตันต่อปี ขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์ในปีนี้คาดจะเติบโตเช่นกัน หลังจากที่บริษัทได้มีการเพิ่มกำลังการผลิตอาหารสัตว์ เพื่อขายให้กลุ่มลูกค้านอกเครือมากขึ้น โดยปัจจุบันมีปริมาณขายนอกเครือเพียง 20% และตั้งเป้าในช่วง 2-3 ปี ข้างหน้าสัดส่วนขายนอกเครือจะเพิ่มขึ้นเป็น 50% สำหรับที่ผ่านมา TFG ได้มีการขยายการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและขีดความสามารถการแข่งขัน รองรับการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต ในส่วนของโรงฟักลูกไก่ที่ได้ขยายการลงทุนในปีที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มความสามารถในการผลิตลูกไก่ได้มากขึ้น รวมถึงการเพิ่มผลผลิต จากแม่สุกรที่สามารถผลิตลูกสุกรได้มากขึ้น และการสูญเสียที่น้อยลง จากการนำเทคโนโลยีจากต่างประเทศมาใช้ ส่งผลให้สามารถส่งลูกไก่ และลูกสุกร ป้อนตลาดได้มากขึ้น ทั้งนี้สะท้อนได้จากผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกปีนี้ที่เติบโตอย่างโดดเด่น โดยมีกำไรสุทธิ 204.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 284.34% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากการปรับช่องทางจำหน่ายขายทั้งใน และต่างประเทศเพื่อเข้าสู่ช่องทางที่มีกำไรดีขึ้น หลังจากที่บริษัทฯพยายามเจาะตลาดใหม่ๆ เข้าไปบุกตลาดต่างประเทศ ซึ่งมีดีมานด์เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ล่าสุดบริษัทได้เข้าลงทุนในบริษัท ฟูด เบลสซิ่ง (1988)จำกัด หรือเอฟบีซี ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ซอสและเครื่องปรุงรส ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยการซื้อหุ้นสามัญเดิมจากผู้ถือหุ้นเดิมของเอฟบีซี 1.8 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 155.86 บาท(มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท) หรือคิดเป็นมูลค่า 280.56 ล้านบาท โดยสัดส่วนการถือหุ้นเท่ากับ 100% ของทุนจดทะเบียนของเอฟบีซี “การเข้าลงทุนในโรงงานซอสและเครื่องปรุงรส ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจหลักของบริษัทได้เป็นอย่างดี และถือว่าเป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนให้ธุรกิจของ TFG เข้าสู่โหมดการเติบโตรอบใหม่ได้อีกครั้ง”