ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กหัวข้อ'ทางออก!!! ค่าโง่ทางด่วน1.37แสนล้านบาท....
ทางออก!!! ค่าโง่ทางด่วน 1.37 แสนล้าน หนี้หรือที่เรียกกันติดปากว่าค่าโง่ทางด่วนจำนวน 137,515.6 ล้านบาท (ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561) ที่คาดว่าการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจะต้องจ่ายให้บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีอีเอ็ม ผู้รับสัมปทานก่อสร้างและบริหารทางด่วนขั้นที่ 2 จากกรณีข้อพิพาทระหว่างการทางพิเศษฯ กับบีอีเอ็มจำนวน 17 ข้อพิพาท ซึ่งมีเพียงข้อพิพาทเดียวเท่านั้นที่ศาลปกครองสูงสุดได้ตัดสินให้การทางพิเศษฯ แพ้คดี และให้จ่ายเงินชดเชยให้บีอีเอ็มเป็นจำนวน 4,318.4 ล้านบาท สืบเนื่องจากกรมทางหลวงได้ก่อสร้างทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ช่วงอนุสรณ์สถาน-รังสิต มาเป็นคู่แข่งขันกับทางด่วนปากเกร็ด-บางปะอินที่บีอีเอ็มได้รับสัมปทาน ส่วนข้อพิพาทที่เหลืออีก 16 ข้อพิพาทนั้น คดียังไม่ถึงที่สุด จากจำนวนหนี้ทั้งหมด 137,515.6 ล้านบาท ที่เกิดจากข้อพิพาท 17 ข้อพิพาท ส่วนใหญ่เกิดจากข้อพิพาท 2 เรื่องหลัก ประกอบด้วย (1) ข้อพิพาทจากการแข่งขันเนื่องจากการขยายทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์จำนวน 2 ข้อพิพาท คิดเป็นเงิน 78,907.8 ล้านบาท และ (2) ข้อพิพาทจากการไม่ขึ้นค่าทางด่วนจำนวน 11 ข้อพิพาท คิดเป็นเงิน 56,033.6 ล้านบาท ที่เหลือเป็นข้อพิพาทอื่นๆ จำนวน 4 ข้อพิพาท คิดเป็นเงิน 2,574.2 ล้านบาท ที่น่าสนใจก็คือข้อพิพาทที่เกิดจากการแข่งขันจำนวน 2 ข้อพิพาท ซึ่งเป็นเงินก้อนใหญ่ที่สุด โดยศาลปกครองสูงสุดได้ตัดสินให้การทางพิเศษฯ แพ้มาแล้ว 1 ข้อพิพาท และให้จ่ายเงินชดเชยให้บีอีเอ็ม 4,318.4 ล้านบาท จากการขยายทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ทำให้มีการแข่งขันกับทางด่วนปากเกร็ด-บางปะอิน ซึ่งข้อพิพาทนี้บีอีเอ็มได้เรียกร้องค่าเสียหายเฉพาะช่วงปี พ.ศ.2542-2543 เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังมีการแข่งขันกันอยู่ ดังนั้น จึงทำให้มีข้อพิพาทที่เกิดจากการแข่งขันอีก 1 ข้อพิพาท ที่ยังไม่เข้าสู่ขบวนการอนุญาโตตุลาการ คิดเป็นเงิน 74,589.4 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าเสียหายในช่วงปี พ.ศ.2544-2561 หากข้อพิพาทนี้ถึงขั้นพิจารณาของศาลปกครองสูงสุดก็คาดกันว่าการทางพิเศษฯ จะแพ้คดี และจะต้องจ่ายเงินชดเชยให้บีอีเอ็มจำนวน 74,589.4 ล้านบาท เนื่องจากเป็นข้อพิพาทจากการแข่งขันเช่นเดียวกันกับข้อพิพาทที่ศาลปกครองสูงสุดได้เคยตัดสินให้การทางพิเศษฯ แพ้มาแล้ว ด้วยเหตุนี้ จะทำให้การทางพิเศษฯ จะต้องจ่ายเงินชดเชยเฉพาะข้อพิพาทจากการแข่งเป็นเงินรวมทั้งหมด 78,907.8 ล้านบาท (4318.4+74,589.4) ส่วนข้อพิพาทจากการไม่ขึ้นค่าทางด่วนจำนวน 11 ข้อพิพาทนั้น ศาลปกครองสูงสุดยังไม่เคยตัดสิน จึงไม่อาจบอกได้ว่าการทางพิเศษฯ จะแพ้หรือชนะ หนี้ทั้งหมด 137,515.6 ล้านบาทนั้น การทางพิเศษฯ สามารถต่อรองลงมาเหลือประมาณ 59,000 ล้านบาท นับเป็นการต่อรองที่ได้ผลดีมาก แต่การทางพิเศษฯ ควรออกมาชี้แจงให้ได้ว่าทำไมบีอีเอ็มจึงยอมลดหนี้ให้มากมายขนาดนั้น นอกจากหนี้จำนวนที่ลดลงมาเหลือ 59,000 ล้านบาทแล้ว ยังมีหนี้ที่การทางพิเศษฯ ต้องการให้บีอีเอ็มก่อสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 (Double Deck) เหนือทางด่วนในปัจจุบันจากประชาชื่น-อโศก ระยะทาง 17 กิโลเมตร รวมทั้งแก้คอขวดบนทางด่วนอีก 4 จุด รวมเป็นเงิน 31,000 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหารถติดบนทางด่วน ทำให้การทางพิเศษฯ มีหนี้รวมทั้งหมด 90,000 ล้านบาท (59,000+31,000) หนี้จำนวน 90,000 ล้านบาท หากการทางพิเศษฯ ต้องการจ่ายเป็นเวลาแทนเงิน จะต้องขยายเวลาสัมปทานให้บีอีเอ็มออกไป 30 ปี โดยที่ระยะเวลา 30 ปี ประกอบด้วย (1) เวลาประมาณ 15 ปี เพื่อใช้ทดแทนหนี้ 59,000 ล้านบาท และ (2) เวลาประมาณ 15 ปี เพื่อใช้ทดแทนค่าก่อสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 (Double Deck) รวมทั้งแก้ปัญหาคอขวดบนทางด่วน จากข้อมูลทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น ผมขอเสนอแนะให้การทางพิเศษฯ พิจารณาเลือกแนวทางการแก้ปัญหาค่าโง่ทางด่วนดังนี้ 1. หากเห็นว่ามีโอกาสชนะคดีสูงจากข้อพิพาทที่เหลืออยู่ก็ควรสู้คดีต่อ แต่จะต้องจ่ายเงินชดเชยให้บีอีเอ็มในข้อพิพาทที่ศาลปกครองสูงสุดตัดสินแล้วเป็นเงิน 4,318.4 ล้านบาท หรือขยายเวลาสัมปทานทางด่วนปากเกร็ด-บางปะอินให้แทนเป็นเวลาประมาณ 4-5 ปี 2. หากเห็นว่ามีโอกาสแพ้สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อพิพาทจากการแข่งขันที่ศาลปกครองสูงสุดได้เคยตัดสินแล้ว ก็ควรยุติข้อพิพาทที่เหลือทั้งหมด แล้วพิจารณาขยายเวลาให้บีอีเอ็ม แต่ควรขยายเวลาให้ไม่เกิน 15 ปี เพื่อชดเชยหนี้จำนวน 59,000 ล้านบาทเท่านั้น ไม่ควรนำการก่อสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 (Double Deck) มาพิจารณารวมกับข้อพิพาท อนึ่ง การก่อสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 (Double Deck) นั้น หากการทางพิเศษฯ มั่นใจว่าเมื่อสร้างขึ้นมาแล้วจะสามารถแก้ปัญหารถติดบนทางด่วนได้จริงก็ควรแยกเป็นโครงการเฉพาะ ทั้งหมดนี้ หวังว่าการทางพิเศษฯ จะนำไปพิจารณาเลือกแนวทางที่จะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อพี่น้องประชาชนหรือประเทศชาติโดยส่วนรวม