ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต “ทุกคนมีดวงตา แต่จักทำอย่างไรเล่า...จึงจักรักษาประกายตาไว้ได้ตลอดชีวิต???” “วิถีของบทกวี..ถูกนับเนื่องให้เป็นดั่งดวงตาของโลกธรรม ส่องสะท้อนถึงการมองเห็นดวงตาแห่งดวงใจอันพิสุทธิ์ที่ซ่อนเร้นอยู่กับลมหายใจของวันคืนที่ล่วงผ่าน อุบัติการณ์นี้เกิดขึ้น ณ สวนศรีแห่งชีวิตซึ่งกอปรด้วยประสบการณ์ของการมีชีวิตอยู่ที่เร้นลึก เพื่อรอคอยการประจักษ์แจ้งจากใครๆในทางผ่านของโชคชะตานับแต่ปัจจุบันสู่อนาคต...” สำนึกอันสงบงามแห่งความคิดที่เนื่องมาแต่อารมณ์ด้านในของจิตวิญญาณแห่งบทกวีข้างต้น..คือสาระที่เน้นย้ำถึงผัสสะอันแนบเนาระหว่างชีวิตกับอาการรับรู้ที่แฝงเร้นของความเป็นไปในระหว่างกันและกัน...ผ่านการอ่านกลไกแห่งรูปรอยของข้อตระหนัก กระทั่งผ่านกลิ่นอายแห่งบทสนทนาของสัมผัสร่วมอันตราตรึง ณ ความคิดฝันอันสะทกสะท้อน “เราสนทนากันผ่านงานวรรณกรรม คุณอ่านฉัน ฉันอ่านคุณ กระทั่งคุณล่วงหน้าไปอ่านความตาย ขณะฉันยังอ่านชีวิตแหว่งวิ่น แทนคำอำลาอันเงียบงัน ฉันจะถนอมจิตวิญญาณ ไว้ให้ดีที่สุด” สาระแห่งบทกวีบทนี้เปรียบดั่งก้าวย่างสำคัญในการสะท้อนถ่ายความหมายอันละเมียดละไมจากหัวใจของรวมบทกวีชุดใหม่ของ”เรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์” นักเขียนและกวีซีไรต์ผู้เป็นนักสังเกตการณ์แห่งยุคสมัย...ผู้สร้างความหมายให้แก่เนื้องานอย่างต่อเนื่องและผูกพันกับกาลเวลาอย่างยึดโยงยิ่ง “นั่งเขียนบทกวีในสวนของ”มาร์ก ชากาล”(Marc Chagall)/รวมบทกวีไร้ฉันทลักษณ์จำนวน150บท/อันเปรียบเสมือนถ้อยคำแห่งการบอกเล่าในนามของชีวิตในแต่ละบทตอน/ผ่านการหยั่งรู้ของวารวัยอันไม่รู้จบ ท่ามกลางความความเงียบงันแห่งมโนสติ และการมองเห็นถึงโครงข่ายประเด็นหลักอันเป็นเนื้อเดียวกัน “ความเงียบของเธอเป็นของฉัน ดวงตาเธอเป็นของฉัน ประหนึ่งเธอรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับฉัน วัยเด็ก ปัจจุบัน อนาคต คล้ายเธอมองฉันทะลุ” สายตาแห่งบทกวีจากสำนึกรู้ของ”มาร์ก ชากาล”บทนี้ทะลุผ่านความจริงในความรู้สึกของเรวัตร์ ระหว่างและท่ามกลางการรับรู้ในรู้สึกของประสบการณ์อันเปี่ยมเต็มไปด้วยรสชาติอันยากจะลืมเลือน “ความทุกข์เศร้ามีรสชาติลึกล้ำ เมื่อฉันผ่านห้วงเวลาของฉันมาแล้ว” “เรวัตร์”เหมือนดั่งผูกติดชีวิตอยู่กับร่องรอยของลีลาแห่งบทกวีด้วยเจตจำนงบริสุทธิ์ มันจัดวางทั้งความคิดและความเชื่อของเขาให้คล้ายดั่งเป็นศาสนาของการดำรงชีวิตอยู่ ขณะที่โลกหมุนไปในรอบวงที่กว้างใหญ่ ชีวิตของเขากลับหมุนไปดั่งวงรอบอันจำกัดในสถานะแห่งชะตากรรมของบทกวี นอกเหนือไปจากแม่ แมว พ่อ ลูกสาว คนที่เคยรัก สายน้ำ และสวนแห่งพันธุไม้แล้ว/ ชีวิตของเขาไม่ผูกสัมพันธ์กับอะไรอื่นใดไปมากกว่านี้อีกเลย/ นั่นคือแก่นแท้แห่งศาสนาของความเป็นรากเหง้า ที่ได้ถมทับต่อกันจนกลายร่างเป็น แรงบันดาลใจอันลึกลึกล้ำ “ศาสนาของฉันคือกวีนิพนธ์ ฉันได้รับแรงบันดาลใจจากศาสดาต่างๆบนโลกนี้ แต่ได้รับมากกว่า จากเหล่าชนพื้นเมืองพวกนอกคอกนอกรีต” การใคร่ครวญต่อชีวิตด้วยวิถีแห่งประสบการณ์ตรงเฉพาะตัวของ”เรวัตร์”ผ่านบทกวีที่มีธารสำนึกต่อความเป็นมนุษย์ที่แท้ของเขาถือเป็นความสว่างไสวในเชิงพุทธิปัญญาที่เขาค่อยๆขับขานออกมาอย่างแผ่วเบาเหมือนบทสวดภาวนาของความตระหนักรู้และการปลดปลงที่ใคร่ครวญ ซึ่งถือเป็นภาวะสำนึกที่มีค่าต่อรวมบทกวีชุดนี้โดยรวมอย่างยิ่ง “มนุษย์ผู้หนึ่งตายจากไป (ไม่ว่าด้วยสาเหตุใด)เขากลายเป็นส่วนหนึ่งของธาตุดินน้ำลมไฟ ความทุกข์เศร้าของเขากลายเป็นบรรดาคนยากไร้ ความอบอุ่นอ่อนโยนเปลี่ยนเป็นเตาไฟในบ้านหลังหนึ่ง ความมืดดำภายในใจแปรเป็นฤดูหนาวของคนจรจัด ความเมตตากรุณาคือสายน้ำและทุ่งข้าวสีทอง ความใคร่ครวญและปรัชญาชีวิตเติบโตขึ้นเป็นต้นไม้ที่จะกลายเป็นหนังสือที่เปี่ยมคุณค่า ความหยาบกระด้างและความโลภกลายเป็นนักการเมืองผู้ปกครอง และความลวงของเขากลายเป็นเขี้ยวเล็บ ที่ซุ่มรออยู่ในระหว่างทางแห่งชีวิตของผองเรา” จะเห็นได้ว่า..ภาพสะท้อนแห่งอุปมา อุปลักษณ์ บุคลาธิษฐาน อติพจน์ คลังคำ จิตวิญญาณ และความรัก ในรูปรอยต่างๆถูกนำมาร่วมใช้ในการประกอบสร้างรมบทกวีชุดนี้ โดยกวีอย่างตั้งใจแม้เขาจะตระหนักและทราบดีว่า...สิ่งเหล่านี้ต่างไร้ความหมายในระหว่างบรรทัดที่จักทอดไปสู่ยุคสมัยสะดวกซื้อของเราก็ตาม “ฉันปรารถนาอุปลักษณ์ ในระหว่างบรรทัดของกวีนิพนธ์เป็นแม่น้ำ ที่ฉันจะกระโดดลงไปในวันที่แดดกระจ่าง ดำดิ่งสู่ก้นบึ้ง เพื่อมองดูเรืองแสงประหลาดเบื้องบน” เราเป็นใคร มาจากไหน มาทำอะไร และกำลังจะไปไหน???/นั่นคือเหล่าคำถามแทงหัวใจจากจาก”มาร์ก ชากาล”จิตรกรชาวยิวเบรารุส-รัสเซียผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยความฟุ้งฝันของ ความอ่อนหวาน ความอ่อนโยน และความรัก/ซึ่งมีชีวิตอยู่ระหว่างปีค.ศ.1887-1985/ผู้ได้รับการยกย่องว่ามีเทวดาอยู่ในจิตใจ อันหมายถึงผู้ที่โอบประคองความสุขไว้ในสวนศรีอันเป็นประหนึ่งดวงตาแห่งการหยั่งเห็นของชีวิตหนึ่ง/เรวัตร์..สื่อสารผลงานบทกวีทั้งหมดของเขาในชุดนี้ด้วยความงามและความหมายที่จุดประกายล้ำลึกสู่โลกภายในถึงกันและกัน เป็นทั้งความคาบเกี่ยวและการร้อยเรียงนัยของความเป็นบทกวีในชีวิตเข้าสู่วิถีแห่งกันและกันในที่สุด...... นี่คือเสี้ยวชีวิตอันมีค่าของรวมบทกวีชุดหนึ่ง ที่สามารถเปิดโลกของเราออกไปสู่เวิ้งกว้างของจักรวาล และที่สุดแล้วก็นำเรากลับเข้ามาสู่โลกส่วนตัวภายในที่ต้องทบทวนอยู่เสมอเพื่อจักได้ยินได้ฟังเสียงเรียกอันจริงแท้จากร่มไม้ใหญ่แห่งจิตวิญญาณในสวนศาสดาแห่งความเป็นตัวตนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปร/หนังสือเล่มหนึ่งสามารถสร้างร่มเงาให้แก่ชีวิตอย่างหยั่งเห็นได้เสมอ...แม้ว่าประกายตาของเราจะโดนอำพรางหรือถูกปิดกั้นจากสิ่งใดก็ตาม “ทุกคนมีดวงตา ...แต่จักทำอย่างไรเล่า จึงจะรักษาประกายตาไว้ได้ตลอดชีวิต???” ภาพจาก http://www.chulabook.com