กรมชลประทาน ยืนยันการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ แต่ด้วยปริมาณน้ำที่เหลือน้อยในเขื่อน ทำให้ต้องระบายน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศเป็นหลัก เมื่อวันที่ 19 ก.ค.62 ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เป็นโครงการชลประทานขนาดใหญ่ สามารถเก็บกักน้ำได้กว่า 960 ล้านลูกบากศ์เมตร ซึ่งปัจจุบันมีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเพียง 48 ล้านลูกบากศ์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 5 ของความจุอ่าง ขณะนี้ได้ระบายน้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศและการอุปโภคบริโภควันละประมาณ 700,00 ลูกบากศ์เมตร ซึ่งเป็นไปตามแผนการบริหารจัดการน้ำที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ หากยังคงทำการระบายน้ำในอัตราดังกล่าว จะสามารถสนับสนุนน้ำได้จนถึงวันที่ 26 สิงหาคม 2562 แต่ตามความคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา ว่าต่อจากนี้ไปจะมีปริมาณฝนเพิ่มมากขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันปริมาณน้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์มีปริมาณน้อย กรมชลประทาน โดยสำนักงานชลประทานที่ 10 จึงได้ดำเนินการส่งน้ำให้กับพื้นที่ 3 อำเภอ ของจังหวัดลพบุรี ได้แก่ อำเภอสระโบสถ์ อำเภอโคกเจริญ และอำเภอโคกสำโรง โดยทำการสูบน้ำจากอ่างเก็บน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ส่งน้ำตามระบบท่อ ไปยังพื้นที่ดังกล่าว อำเภอละ 10,000 ไร่ รวมพื้นที่กว่า 30,000 ไร่ ในขณะที่ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำได้ลดระดับลง จึงส่งผลให้การเดินเครื่องสูบน้ำทำได้อย่างจำกัด จากปกติเคยสูบได้วันละประมาณ 20,000 ลูกบากศ์เมตร แต่ตอนนี้สูบได้เพียงวันละประมาณ 8,333 ลูกบากศ์เมตรเท่านั้น ถึงอย่างไรก็ตามปริมาณน้ำที่เหลืออยู่ยังคงเพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำของราษฎรในพื้นที่ “แม้ว่าช่วงนี้เข้าสู่ช่วงฤดูฝนแล้วก็ตาม แต่หลายพื้นที่ยังคงมีฝนตกน้อย ส่งผลให้ปริมาณน้ำที่ไหลลงอ่างเก็บน้ำน้อยตามไปด้วย จึงขอให้เกษตรกรติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น เนื่องจากน้ำที่เหลือในขณะนี้ จะเน้นเพื่อการอุปโภคบริโภค และการรักษาระบบนิเวศ เท่านั้น พร้อมทั้งขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนร่วมแรงร่วมใจกันรณรงค์การใช้น้ำอย่างประหยัดและจริงจัง เพื่อให้มีปริมาณน้ำสำรองไว้ใช้ให้มากที่สุด”รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าว