คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย ประเด็นการปลดล็อกกัญชาให้ถูกต้องตามกฎหมายในสหรัฐอเมริกา ขณะนี้ได้กลายเป็นโจทย์ที่มีการโต้แย้งกันอย่างเข้มข้นอีกครั้งหนึ่ง ตั้งแต่ยุคสมัยเริ่มบุกเบิกประเทศสหรัฐอเมริกา ครั้งนั้นได้มีการส่งเสริมให้ทุกๆบ้านเรือนปลูกกัญชา เพื่อนำผลิตผลทุกๆอย่างของกัญชามาใช้ทำเป็น เชือก กระดาษ หรือแม้กระทั่งเสื้อผ้าอาภรณ์!!! โดยในปี 1619 รัฐเวอร์จิเนียถือเป็นรัฐแรกที่ได้ปลดล็อกผ่านร่างกฎหมายบังคับให้ทุกๆบ้านปลูกกัญชา จนเป็นที่แพร่หลาย ตามมาด้วยรัฐเพนซิเวเนียและรัฐแมรี่แลนด์ แต่เมื่อสหรัฐฯได้มีการนำฝ้ายเข้ามาเพาะปลูก มีผลทำให้กัญชาได้รับความนิยมน้อยไป ต้นกัญชา อย่างไรก็ตามหลังจากการเกิดสงครามกลางเมือง สหรัฐฯทำการวิจัยจนสามารถค้นพบว่า “กัญชามีสรรพคุณและมีคุณค่าทางการแพทย์” ต่อมาในปี 1937 รัฐบาลกลางของสหรัฐฯได้มีการออกกฎหมายห้ามให้ประชาชนใช้กัญชา แต่เมื่อปี 1973 รัฐออริกอนเป็นรัฐแรกที่ประกาศว่า “การใช้กัญชาไม่ผิดต่อกฎหมาย” โดยใช้สิทธิ์ของรัฐในการกำหนดอนาคตของตนเอง และต่อมาในปี 1996 รัฐแคลิฟอร์เนียถือเป็นรัฐแรกที่ประกาศเปิดโอกาสให้แพทย์ออกใบสั่งให้ประชาชนสามารถนำผลิตภัณฑ์ที่มาจากกัญชาเพื่อใช้ในการรักษาและบำบัดได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย!!! และจากนิตยาสาร Forbes เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2019 ระบุว่ามีรัฐต่างๆทั้งหมด 11 รัฐได้ประกาศใช้สิทธิของตนประกาศว่า “กัญชาถูกต้องตามกฏหมายของรัฐ” โดยไม่ต้องการให้รัฐบาลกลางเข้าไปแทรกแซง กระนั้นก็ตามจะเห็นได้ว่าเจ็ดสิบปีก่อนหน้านี้ นักการเมืองและผู้ปกครองของบรรดาอเมริกันชนต่างก็มีความห่วงใยไม่ต้องการให้เยาวชนลูกๆหลานๆทดลองใช้กัญชา เพราะพวกเขาเกรงว่า กัญชาเป็นยาเสพย์ติดและเป็นภัยต่อสุขภาพ!!! โดยขณะนี้ปรากฏอีกด้วยเช่นกันว่า ได้มีการค้นคว้าศึกษาและวิจัยทางด้านวิชาการเกี่ยวกับเรื่องกัญชาออกมาหลายพันชิ้น ซึ่งส่วนใหญ่ต่างออกมาระบุถึงสรรพคุณของกัญชาว่า มีคุณสมบัติทางด้านบำบัดอาการปวดในระบบประสาท รวมไปถึงอาการเจ็บปวดเรื้อรังของโรคต่างๆอย่างมากมาย ทว่าได้มีการออกมารณรงค์ต่อต้านการใช้กัญชาอย่างแข็งขัน ฝ่ายที่ออกมาต่อต้านส่วนใหญ่มาจากอุตสาหกรรมบริษัทผลิตยา เหตุผลหลักๆที่อุตสาหกรรมผลิตยายักษ์ใหญ่ได้ออกมาต่อต้านสืบเนื่องมาจาก เกรงว่าผลิตภัณฑ์กัญชาจะเข้ามาแย่งตลาดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะทำให้ “รายได้ของบริษัทผลิตยาจะมีผลกำไรลดน้อยลง เพราะกัญชาจะกลายเป็นคู่แข่งรายสำคัญ” ข้ออ้างหลักที่บริษัทผลิตยารณณรงค์ชูธงต่อต้านกัญชานั้นก็คือ “กัญชาเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ระบบประสาทและร่างกาย” อย่างไรก็ตามกาลเวลาได้ค่อยๆเปลี่ยนความคิดเห็นของนักการเมืองและอเมริกันชน โดยมีนักการเมืองในสภาคองเกรสห้าคนเดินเรียงแถวออกมารณรงค์ต่อต้านกฎหมายที่ว่า กัญชาเป็นสิ่งผิดกฏหมายของปี 1937 เพื่อให้มีการปฏิรูปปรับเปลี่ยนกฎหมายเรื่องกัญชา!!! โดยวุฒิสมาชิกที่ถือว่าเป็นแกนนำคนสำคัญได้แก่ “วุฒิสมาชิกคอรี บุคเกอร์” ฮีโร่ที่ออกมาเสนอให้ยกเลิกกฎหมายปี 1937 โดยขณะนี้เขาเป็นหนึ่งในนักการเมือง 23 คนของพรรคเดโมแครตที่จะลงแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดี ส่วน “วุฒิสมาชิกคอรี การ์ดเนอร์” จากรัฐโคโลราโดที่เคยต่อต้านการใช้กัญชา แต่ได้เปลี่ยนท่าทีใหม่เมื่อปี 2012 หลังจากที่รัฐโคโลราโดปลดล็อกผ่านร่างกฏหมายการใช้กัญชา และเขายังเป็นแกนนำคนสำคัญในวุฒิสภา เพื่อให้ยกเลิกกฏหมายที่ว่า “กัญชาเป็นสิ่งผิดกฏหมายของปี 1937 ด้วยเช่นกัน” “วุฒิสมาชิกอลิซาเบธ วอร์เรน” จากรัฐแมสซาชูเซตส์ นับว่าเป็นนักการเมืองที่เข้มแข็งที่สุดอีกคนหนึ่งและยังเป็นนักการเมืองตัวเก็งคนหนึ่งของพรรคเดโมแครตที่อาจจะกลายเป็นตัวแทนของพรรคในตำแหน่งประธานาธิบดี โดยเธอออกมานำเสนอว่า “ควรจะห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐจับกุมผู้ใช้กัญชา ตราบใดที่ปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ” “ วุฒิสมาชิกเจฟ เมอร์คเลย์” นักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลอีกคนหนึ่งในวุฒิสภา จากรัฐออริกอน ก็ได้ออกมาประกาศสนับสนุนให้มีการปฏิรูปกฎหมายกัญชาด้วยเช่นกัน สำหรับ “วุฒิสมาชิกรอน พอล” จากรัฐเคนตักกี้ ซึ่งเขาเป็นนักการเมืองจากค่ายพรรครีพับลิกันเพียงคนเดียวที่ออกมาสนับสนุนให้มีการปฏิรูปกฎหมายกัญชา ที่เขาวางตนเป็นลูกไม้ใกล้ต้นเดินตามรอยบิดา ซึ่งเป็นนักการเมืองทรงอิทธิพลในสภาคองเกรสที่สนับสนุนให้การปฏิรูปกฎหมายกัญชามาอย่างยาวนานด้วยเช่นกัน!!! คราวนี้ลองหันมาดูความคิดเห็นของคนอเมริกันเกี่ยวกับกฏหมายกัญชา โดยเมื่อปี 1988 คนอเมริกันเห็นชอบให้การใช้กัญชาถูกต้องตามกฎหมายแค่เพียง 24% แต่เมื่อปี 2018 คนอเมริกันได้มีความเห็นชอบเพิ่มมากขึ้นเป็น 66% และจากการหยั่งเสียงของสามสำนักโพลอันได้แก่ PSB Research, Civilized, Burson Cohn & Wolfe, and BuzzFeed News ที่ต่างได้ทำโพลอย่างละเอียดทุกแง่ทุกมุม และนำมาตีพิมพ์เมื่อวันที่ 19 เมษายนนี้ โดยระบุว่า คนอเมริกันถึง 72% เห็นด้วยในเรื่องที่ว่า กัญชาเป็นประโยชน์ทางการแพทย์ด้านการใช้บำบัดรักษาผู้ป่วย ทั้งนี้ยังมีกรณีหนึ่งที่ได้กลายเป็นเรื่องกล่าวขวัญจนจุดประกายไปอย่างกว้างขวางถึงคุณค่าของกัญชา ในกรณีดังกล่าววารสารสมาคมแพทย์อเมริกันฝ่ายจรรยาบรรณ “AMA Journal Of Ethics” เดือนกันยายน 2014 ได้ตีพิมพ์บทความเรื่อง “Physicians, Medical Marijuana, and the Law” โดยได้กล่าวถึงเรื่องราวชีวิตของเด็กหญิงคนหนึ่งอายุห้าขวบชื่อชาร์ลอต์ต ซึ่งเธอเป็นโรคลมชักที่เรียกว่า “Dravet Syndrome” โดยแต่ละสัปดาห์เด็กหญิงคนนี้จะเกิดอาการเป็นลมชักสัปดาห์ละ 300 ครั้ง โดยเธอไม่สามารถเดิน ไม่สามารถพูด หรือ แม้แต่รับประทานทาน แถมยังไม่สามารถจะรักษาเยียวยาจากยาทั่วไปได้!!! ทั้งนี้พ่อแม่ของเด็กหญิงคนนี้พยายามพาชาร์ลอต์ตผู้เป็นลูกสาวไปหาแพทย์มาแล้วหลายร้อยคน เพื่อให้ช่วยบำบัดรักษาแต่กลับปรากฏว่า “ไร้ผล” แต่ในท้ายที่สุดพ่อแม่ของเด็กหญิงคนนี้ ได้มีโอกาสเข้าพบแพทย์สองท่านคือ “แพทย์หญิงมาร์กาเร็ต เก็ตดี้” และ “นายแพทย์อลัน แซคคัลฟอร์ด” โดยแพทย์ทั้งสองท่านนี้ได้แนะนำใช้สมุนไพรกัญชาบำบัดรักษาอาการชักของหนูน้อยคนนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์และยังมี “ดร.ซันเจย์ คุปตาร์” นายแพทย์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในรายการซีเอ็นเอ็นเข้ามาร่วมเป็นกระบอกเสียงในกรณีนี้อีกด้วย กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นโดยภาพรวมแล้วจะเห็นได้ว่าขณะนี้นักการเมืองและคนอเมริกันได้พากันออกมาประกาศก้องว่า การทำโทษผู้ใช้กัญชาเพื่อบำบัดรักษานั้นโหดร้ายเกินควร โดยโพลต่างๆก็ได้พากันออกมาระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องปลดล็อกปรับเปลี่ยนและปฎิรูปกฎหมายกัญชา เพื่อต้องการให้แต่ละรัฐมีสิทธิในการกำหนดอนาคตของตนเองละครับ