ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก Gossipสาสุข โพสต์ข้อความ เกี่ยวกับกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีแนวคิดตั้งอาสาสมัครสาธารณสุข หรือ อสม. เผยแพร่กัญชา ความว่า
บุคลากรสาธารณสุขกุมขมับ! แผน “อนุทิน” ตั้ง อสม.เป็นผู้เผยแพร่ “กัญชา” ทั้งที่ สธ.ยังมีเรื่องอื่นให้ทำอีกแยะ • • จบลงไปแล้วอย่างยิ่งใหญ่สำหรับงานคิกออฟสัมมนาเชิงปฏิบัติการ“กัญชาเสรีเพื่อการแพทย์” ที่อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข เดินทางไปเปิดงานเองเมื่อวันศุกร์ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา • งานนี้ไม่ใช่น่าจับตาเฉพาะตัวอนุทินอย่างเดียวแต่ต้องโฟกัสไปที่บรรดาผู้บริหารกระทรวงหมอทั้งหลายต่างพากันไปยืนต้อนรับรัฐมนตรีใหม่กันพรึ่บพรั่บ • ที่เห็นหน้าชัดๆก็เช่นหมอสุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวง นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค (ตัวเก็งว่าที่ปลัดฯคนต่อไป) และ นพ.ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัด • นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์รวมของบรรดาเซเล็บ “กัญชา supporter” ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา จากคณะแพทยศาสตร์จุฬาฯ, ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ จาก ม.รังสิต, ประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ จากสภาเกษตรกร หรือ รสนา โตสิตระกูลซึ่งก็น่าเสียดายที่บรรดาผู้สนับสนุนกัญชาเสรี ยังมีเฉพาะคนหน้าซ้ำไม่สามารถขยายวงกว้างออกไปไกลกว่านี้ได้ • ทั้งที่เอาเข้าจริง หากจะออกเป็นกฎหมายขับเคลื่อนกันเป็นวาระทางสังคม คนจำนวนนี้ไม่พอแน่นอน โดยเฉพาะองคาพยพที่สำคัญที่สุด ที่อนุทินต้องการ คือบรรดา“หมอ” ซึ่งจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบการใช้ “กัญชาทางการแพทย์” โดยตรง ให้เข้ามาสนับสนุนเพิ่มเติม ไม่ใช่มีแค่หมอระดับ “หัวๆ” ในกระทรวงสาธารณสุข (ที่ต้องเอาใจนายใหม่) แต่ควรขยายไปครอบคลุมถึงราชวิทยาลัยแพทย์เฉพาะทางที่เกี่ยวข้อง ไปจนถึงสภาวิชาชีพต่างๆ ให้เห็นดีเห็นงามด้วย • นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะปลายปีที่ผ่านมา ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย เพิ่งแถลงจุดยืน แสดงความกังวลว่า กัญชาทางการแพทย์ มีฤทธิ์รบกวนการทำงานของสมอง และเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการทางจิตเวชได้ • หรือราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ ก็ออกแถลงการณ์แสดงความกังวล เมื่อปลายเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาเช่นกัน โดยระบุว่า แม้สาร THC ในกัญชา จะสามารถลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือลดปวดได้ และสาร CBD ในกัญชาจะลดปวด และลดอาการชักได้ แต่ก็มีเปเปอร์ในออสเตรเลีย และในแคนาดา ที่เน้นย้ำว่าการใช้กัญชา ควรเป็นทางเลือกท้ายๆ เมื่อการรักษาอื่นไม่ได้ผล • นอกจากนี้ ยังมีข้อแนะนำจากราชวิทยาลัยจิตแพทย์ด้วยว่าผลระยะยาวของการ “เสพกัญชา” สัมพันธ์กับการเกิดโรคจิต การฆ่าตัวตาย การติดยา สมองฝ่อ ความคิดความจำผิดปกติ เส้นเลือดสมองตีบ เส้นเลือดหัวใจตีบ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ถุงลมโป่งพอง และมะเร็งอัณฑะ • นั่นสะท้อนให้เห็นว่า “กัญชา” ไม่ได้เป็นยาวิเศษ เพียงแต่สามารถใช้ทางการแพทย์ เฉพาะกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับภาวะคลื่นไส้อาเจียนจากเคมีบำบัด,โรคลมชักรักษายากในเด็ก, โรคลมชักที่ดื้อต่อยารักษา,ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยปลอกประสาทเสื่อมแข็ง และอาการปวดประสาท • ขณะเดียวกัน โรคที่ “น่าจะ” ได้ประโยชน์ ก็เช่น พาร์กินสัน อัลไซเมอร์ ปลอกประสาทอักเสบ ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแบบประคับประคอง และผู้ป่วยมะเร็งระยะท้ายๆ • เท่าที่Gossipสาสุขถามไถ่มาบรรดาหมอๆ หลายคนดูจะไม่กล้าออกตัวแรง เพราะดูการเร่งเครื่องของ“เสี่ยหนู” แล้วยังเกิดคำถามขึ้นมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการ “จำกัดวง” กัญชาให้อยู่เฉพาะการแพทย์ โดยเคลมว่ารักษา “ครอบจักรวาล” ทั้งที่กัญชาในทางการแพทย์ก็ยังมีขอบเขตเฉพาะบางโรค และไม่ได้มีข้อจำกัดที่สามารถใช้ได้กับทุกคน • ไปจนถึงความ “ย้อนแย้ง” ระหว่างการเป็น “พืชเศรษฐกิจ” กับการทำให้กัญชาถูกใช้เฉพาะทางการแพทย์เท่านั้น ซึ่งขัดกันเองโดยสิ้นเชิง • และแม้จะเคลมว่ามี 12 องค์กรสนับสนุนแต่ในทางการแพทย์เอาเข้าจริงอาจารย์ผู้ใหญ่ รวมถึงหมอในโรงเรียนแพทย์ หมอในโรงพยาบาลชุมชนอีกจำนวนมาก ไม่ได้คิดว่าต้องทำเรื่องนี้ให้ “เอิกเกริก” ขนาดนั้น • เพราะในระบบสาธารณสุขยังมีงานจำเป็นเร่งด่วนมากกว่าอีกหลายอย่าง ตั้งแต่การแก้ปัญหางบประมาณในระบบ การบรรจุบุคลากร หรือการจัดการระบบหลักประกันสุขภาพ • แต่ดูเหมือนเสี่ยหนูและทีมงานจะมุ่งไปทางเดียว คือพยายามเอาทรัพยากรทุกอย่างทุ่มไปทั้งหมด และเตรียมใช้สรรพกำลังถึงขั้นประกาศว่าจะอบรมการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์โดยเริ่มต้นจากการอบรมอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ที่ปัจจุบันมีมากกว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศให้ทำหน้าที่“โปรโมต” กัญชา เสมือนหนึ่งว่าเป็น “ทูตกัญชา” ด้วยการทดลองปลูกในบ้าน ในครัวเรือนของตัวเองก่อน • น่าสนใจอีกอย่างก็คือนอกจากอสม.จะมีหน้าที่โปรโมตกัญชาแล้วกระทรวงหมอยุคภูมิใจไทยยังติดอาวุธให้ อสม. มีบทบาทเป็น“หมอพื้นบ้าน” โดยเพิ่มเงินเดือนจาก 1,000 บาทให้เป็น 5,000 บาทอีกด้วย • เท่ากับว่า อสม.ล้านคนจะมีบทบาทสำคัญยิ่งยวดและได้รับ “ซีน” สำคัญในนโยบายหลักของภูมิใจไทยเกือบทั้งหมด โดยที่บรรดาหมอพยาบาลต่างก็พากันมองอยู่ห่างๆ • ในความไม่ชัดเจน ก็มีความชัดเจนอยู่บ้าง เพราะในที่สุด อนุทิน ก็ “จำกัดวง” กัญชาเป็นที่เรียบร้อยตัดคำว่าเพื่อการ“นันทนาการ” ออกทั้งที่นโยบายดราฟท์แรกที่ส่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นั้นมีคำว่า “นันทนาการ” เขียนอยู่ชัดๆ แต่คราวนี้ เน้นย้ำ เป็นเรื่อง “การแพทย์” ล้วนๆ • ทั้งหมดนี้ Gossipสาสุข ติเพื่อก่อ เพราะยังเห็นประโยชน์จากการใช้กัญชาในการรักษาโรค แต่ไม่เห็นด้วยกับการทำให้ถนนทุกสายมุ่งสู่กัญชา โดยไม่มองไปถึงปัญหาอื่นในระบบสุขภาพ ที่มีอีกร้อยแปด • หากตั้งใจจะทำเรื่องกัญชาให้เป็นวาระระดับชาติ ก็ควรเตรียมความพร้อมให้มากกว่านี้ ไม่ใช่ประกาศแต่หัวข้อ ให้แฟนคลับดีใจ แต่เนื้อในยังจับต้องไม่ได้ และมีช่องโหว่อยู่เต็มไปหมด • หวังว่า “เสี่ยหนู” และพรรคภูมิใจไทย จะมีเวลากลับไปนั่งคิดดีๆ อีกครั้ง ยกเว้นแต่จะมีผลประโยชน์อะไรแอบแฝง ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังเท่านั้นเอง #กัญชา #ภูมิใจไทย #อนุทินชาญวีรกุล #Gossipสาสุข
จากนั้นนายอนุทินได้ตอบคอมเมนท์ต่อโพสต์ดังกล่าวว่า...
เวลายังไม่ทราบอะไรทั้งหมดและยังไม่มีข้อมูลที่ครบ อย่าพึ่งไปสรุปอะไรที่ยังหาความจริงไม่ได้ ยืนยันว่าผมมาดี มาเพื่อทำให้ผู้รับบริการได้ประโยชน์มากที่สุด ไม่คิดที่จะเข้ามาทำมาหากินเรื่องกัญชาอย่างที่พยายามสร้างเรื่องขึ้นมา มีอะไรสงสัย ห้องทำงาน รมว. สธ. อยู่ชั้น4 ตึก สป. พร้อมร่วมหารือตลอดเวลาครับ พูดคุยกันดีๆ มีทางออกแน่นอน
ต่อมาผู้ใช้เฟซบุ๊ก Nattapat Serewiwattana ได้ถามนายอนุทินต่อว่า...
ขนาดกฏหมายยังไม่ออก เสี่ยเห็นมั้ยครับว่าบุคลากรปวดหัวกับคนไข้ที่ใช้กัญชามากมายขนาดไหน ปัญหาเดิมๆ มีอีกมากมาย นอกจากไม่ช่วยแก้ ยังหาปัญหาใหม่มาเพิ่มให้อีก รบกวนพิจารณาดีๆนะครับ ว่าควรผลักดันเรื่องใดก่อน ไม่งั้นบุคลากรสาธารณสุข อาจจะไม่อยู่เฉยอีกต่อไป
นายอนุทิน ได้ตอบกลับว่า...
ก็เพราะปัญหามันยาก ถึงตกมาให้เราแก้ไงครับ ถ้าง่ายก็คงเสร็จสิ้นไปแล้ว