"ไก่อู" ยันรัฐไม่ได้ถังแตก ฐานะการคลังยังเข้มแข็ง แจงขึ้นภาษีน้ำมันเครื่องบินเป็นไปตามกลไกตลาด ชี้สายการบินปรับราคาเกินจริง พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีการวิพากษ์วิจารณ์การปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินภายในประเทศ เนื่องจากรัฐถังแตก ว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะจากข้อมูลฐานะการคลังของรัฐบาล ณ เดือน ธ.ค. 59 ยังมีเงินคงคลัง ซึ่งเป็นตัวเลขที่หักลบรายได้และรายจ่ายแล้วคงเหลือทั้งสิ้น 74,907 ลบ. “การที่มีเงินคงคลังเหลือจำนวนดังกล่าว เพราะช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2560 (ต.ค.-ธ.ค.59) รัฐบาลได้พยายามอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการเบิกจ่ายงบประมาณที่สูงกว่าปีก่อนถึง 78,183 ลบ. และการจัดเก็บรายได้สูงกว่าประมาณการถึง 27,000 ลบ. ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าฐานะการคลังของรัฐบาลยังอยู่ในระดับที่เข้มแข็งเพียงพอ” พล.ท.สรรเสริญ กล่าวต่อว่า เหตุผลในการปรับขึ้นภาษีน้ำมันเครื่องบินคือ การสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษีและเป็นไปตามกลไกตลาด เพราะการขนส่งทางถนน ผู้ประกอบการหรือผู้ใช้รถต้องเสียภาษีน้ำมันเบนซินในอัตรา 5-6 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร ขณะที่การขนส่งทางอากาศ ผู้ประกอบการเสียภาษีน้ำมันเครื่องบินเพียง 20 สตางค์ต่อลิตร ติดต่อกันมาถึง 24 ปีแล้ว รัฐจึงได้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4 บาทต่อลิตร เมื่อ 25 ม.ค.60 ทั้งนี้ จากการคำนวณต้นทุนของกรมสรรพสามิตพบว่า การปรับขึ้นภาษีน้ำมันเครื่องบินครั้งนี้จะทำให้ค่าตั๋วเครื่องบินปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 50 บาท ไม่น่าจะถึง 150 บาทต่อเที่ยว เพราะเครื่องบินขนาดกลางที่มีที่นั่ง 200-300 ที่นั่ง จะใช้น้ำมันประมาณ 2,500 ลิตรต่อชม. หรือมีภาระภาษีเพิ่มขึ้น 9,500-10,000 บาท หากนำไปเฉลี่ยกับจำนวนที่นั่งบนเครื่องบินแล้ว กรมสรรพากรสามิตเห็นว่า ราคาควรจะเพิ่มขึ้นเพียง 45-50 บาทเท่านั้น “การปรับขึ้นหรือลงของภาษีน้ำมันเครื่องบิน น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และอื่น ๆ ล้วนเป็นไปตามหลักอุปสงค์และอุปทานของโลก ส่วนรายได้ที่เกิดจากการเก็บภาษีนั้น รัฐจะคืนกลับแก่ประชาชนในหลากหลายรูปแบบ เช่น การซ่อมแซมถนน สะพาน ระบบจราจร ฯลฯ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน รวมทั้งการปรับปรุงอาคารผู้โดยสาร ลานบิน ระบบความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม สำหรับอุตสาหกรรมการบินเช่นเดียวกัน ดังนั้น การกล่าวอ้างว่าการใช้บริการเครื่องบิน ไม่มีค่าใช้จ่ายหรือการคืนกลับให้แก่สังคมนั้น จึงฟังไม่ขึ้น”